กรุงเทพฯ 15 ก.พ. – บริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ จำกัด หรือ HMC Polymers ผู้ผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติกโพลีโพรพิลีน หรือ PP รายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เครือจีซี มั่นใจยยอดขายโต หลังทั่วโลกเปิดเมือง ยอดใช้พุ่ง รายได้ปี 2566 ไม่ต่ำกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท
Mr.Corso Uzielli (คอร์โซ อูซีลลี่) ประธานบริษัท HMC Polymers กล่าวว่า ในปี 2566 บริษัทก้าวสู่ปีที่ 40 ได้วางนโยบายเชิงรุก ทั้งคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ มุ่งผลักดันให้สายการผลิตที่ 4 ของโรงงานโพลีโพรพิลีน (PP4) ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 ดำเนินการผลิตสูงสุดเต็มศักยภาพ เพื่อให้ได้เม็ดพลาสติก PP รวมกว่า 1 ล้านตัน/ปี ตามเป้าหมาย พร้อมนำเทคโนโลยี Spherizone ที่ทันสมัยที่สุดในการผลิตเม็ดพลาสติก PP จากบริษัท LyondellBasell ผู้ถือหุ้น สู่การผลิตเม็ดพลาสติก PP เกรดพิเศษ (Specialty) และเกรดคุณภาพสูง (Differentiated) ซึ่งมีความแตกต่างจากผู้ผลิตรายอื่น ๆ ในตลาด เพื่อการนำไปใช้งานที่หลากหลายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มการแพทย์และสุขอนามัย, กลุ่มบรรจุภัณฑ์ทั้งแบบแข็งและแบบยืดหยุ่น และกลุ่มชิ้นส่วนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยให้การผลิตในไทยแข่งขันได้ในตลาดโลก ในขณะเดียวกันได้ให้ความสำคัญในการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ทั่วโลกร่วมกันกันแก้ไข
ทั้งนี้ ถือหุ้นบริษัท HMC Polymers ประกอบด้วย บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (GC) ถือหุ้นใหญ่ 41% บริษัท LyondellBasell บริษัทข้ามชาติที่ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำของโลก 29% รวมทั้งนักลงทุนรายอื่น ๆ ในไทยอีก 30%
นอกจากนี้ HMC Polymers ยังให้ความสำคัญกับการนำหลัก ESG (Environment, Social and Governance) และปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาเม็ดพลาสติก PCR หรือ Post-Consumer Recycled ด้วยการนําพลาสติก PP ที่ผ่านการใช้งานโดยผู้บริโภคแล้ว ให้สามารถนํากลับมาใช้ใหม่ได้อีกครั้ง รวมถึงการทดลองโครงการ PP Reborn เป็น Waste Management Platform ของบริษัทฯ เพื่อกระตุ้นภาคสังคมให้เห็นความสำคัญของเศรษฐกิจหมุนเวียนในวงกว้างด้วย
นายพรชัย พิชิตวุฒิกร รองประธานอาวุโส สายงานกลยุทธ์ นวัตกรรม และพาณิชยกิจ กล่าวว่า หลังสายการผลิตที่ 4 ของโรงงาน PP4 ก่อสร้างแล้วเสร็จ ได้วางแผนการดำเนินงาน มุ่งเน้นที่การผลิตเม็ดพลาสติก PP เกรดพิเศษ (Specialty) ควบคู่กับการขยายโอกาสการขายผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในตลาดในประเทศและต่างประเทศ เช่น เอเชียกลาง แอฟริกา อเมริกาใต้ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกของประเทศไทย
นางสาวอังคณี สุนทรสวัสดิ์ รองประธาน สายการเงิน บัญชีและงานสนับสนุนองค์กร กล่าวว่า ปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม 3.2 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตกว่า 4% โดยมีสัดส่วนการขายสินค้าเกรดพิเศษ SPDP (Specialty-Differentiated) กว่า 50% และได้ทำแผนเพิ่มสัดส่วนเกรดพิเศษให้เพิ่มขึ้น ตั้งเป้าหมายปี 2566 จะมีรายได้ราว 4.5 หมื่นล้านบาท บนฐานการจำหน่ายราว 800,000 ตัน/ปี แต่ด้วยราคาที่ขยับดีขึ้น พร้อมดีมานด์โลกที่พุ่งสูงขึ้น หลังทั่วโลกรวมทั้งจีนเปิดประเทศ คาดความต้องการจะเพิ่มสูงขึ้นและเป็นโอกาสในการจำหน่ายเพิ่มขึ้น. – สำนักข่าวไทย