สำนักข่าวไทย 28 พ.ย.-กทม.เตรียมขึ้นค่าปรับรถจักรยานยนต์ฝ่าฝืนวิ่งทางเท้า จาก 500 บาท เป็น 1,000 บาท ยืนยันเจอทำผิดไม่มีเตือนจับปรับทันที
นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า การดำเนินการจัดระเบียบทางเท้าทวงคืนสิทธิขั้นพื้นฐานในการเดินฟุตปาธให้กับคนเมือง ให้ได้สัญจรอย่างสะดวกและปลอดภัย ว่าจะยังคงเดินหน้าให้เข้มงวดต่อไป ตั้งแต่เริ่มโครงการกวดขันห้ามรถจักรยานยนต์วิ่งบนฟุตปาธตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว แต่พบว่ายังมีการฝ่าฝืนกันอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งยอมรับว่าเส้นทางในพื้นที่กรุงเทพฯมีมาก เกินกว่าที่เจ้าหน้าที่เทศกิจทั้ง 50 เขตจะดูแลได้อย่างทั่วถึง แม้ว่าค่าปรับตอนนี้จะอยู่ที่ 500 บาท ซึ่งถือว่าเยอะแล้ว แต่ก็ยังมีการฝ่าฝืนต่อเนื่อง และหลังจากเกิดเรื่องนักเรียนหญิงรายหนึ่งบาดเจ็บ ถูกรถจักรยานยนต์ขับชนขณะกำลังเดินบนทางเท้าบริเวณปากซอยลาดพร้าว 69 กทม.จึงเตรียมประชุมหัวหน้าฝ่ายเทศกิจทั้ง 50 เขตเพื่อชี้แจงให้มีการกวดขันเอาจริงมากขึ้น โดยจะเพิ่มจุดตรวจของเจ้าหน้าที่จากเดิม 115 จุด เป็น 230จุดไม่ต้องรอให้ประชาชนถ่ายคลิปส่งมา เทศกิจสามารถจับปรับได้เลยหากพบความผิดซึ่งหน้า และเพิ่มค่าปรับจากเดิม 500 บาท เป็น 1,000 บาท ในเดือนธันวาคมนี้ ยืนยันไม่มีการตักเตือนแล้ว เจอแล้วจะให้เจ้าหน้าที่จับปรับทันที
“คงไม่มีการเตือนแล้ว เพราะเตือน บอกมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม แต่ก็ยังมีการฝ่าฝืนต่อเนื่อง ถ้า 500 ยังกล้าขนาดนี้ คงต้องเพิ่มให้เยอะขึ้น โดยจะเพิ่มเป็น 1000 บาท น่าจะทำให้ลดจำนวนคนผิดเพิ่มมากขึ้น ถ้าคุณกล้าทำผิด ก็ต้องกล้ารับผลในสิ่งที่คุณทำ เพราะผมไม่เชื่อว่าจะมีใครที่ทำงานได้เงินเดือนหมื่น จะยอมเสียค่าปรับครั้งละ 2 พัน 3 พัน ยืนยันการขึ้นค่าปรับไม่ใช่วัวหายแล้วล้อมคอก เพราะที่ผ่านมา กทม.จับปรับมาโดยตลอด หลังจากนี้จะเพิ่มความเข้มงวดให้มากขึ้น ” นายสกลธี กล่าว
สำหรับสถิติของ กทม.เขตที่มีรถจักรยานยนต์ฝ่าฝืนขับขี่ขึ้นฟุตปาธ คือเขตวังทองหลาง ซึ่งเป็นเขตที่เกิดอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ชนนักเรียน รองลงมาคือเขตสวนหลวง เขตลาดกระบังและเขตวัฒนา สาเหตุส่วนใหญ่มาจากหนีรถติด และจุดกลับรถอยู่ไกลจึงใช้วิธีขี่ย้อนศรบนฟุตปาธ ส่วนยอดจับปรับผู้กระทำผิด ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีประชาชนส่งคลิปภาพมาจำนวน 10,000 กว่าราย มีการนำปรับและส่งเงินรางวัลให้กับผู้ส่งประมาณ 2,000 ราย และปรับผู้กระทำผิดเป็นเงินกว่า 4,000,000 บาท.-สำนักข่าวไทย