ฮิโรชิมะ 6 ส.ค.- วันนี้เมื่อ 80 ปีก่อน โลกได้เห็นการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ขณะนั้นเรียกว่าระเบิดปรมาณูเป็นครั้งแรกที่เมืองฮิโรชิมะของญี่ปุ่น สร้างความเสียหายแบบทำลายล้าง คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง แต่ดูเหมือนว่า บทเรียนนี้ไม่ได้ทำให้หลายประเทศหวั่นเกรงแต่อย่างใด ซ้ำยังแข่งขันกันสั่งสมและพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ท้าทายกฏระเบียบโลกที่เป็นเหมือนเสือกระดาษ
อาวุธสงครามครั้งแรกและครั้งเดียวจนถึงปัจจุบัน
ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ประธานาธิบดีแฮร์รี เอส ทรูแมนของสหรัฐได้สั่งให้นำเครื่องบินไปทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ถล่มเมืองฮิโรชิมะและเมืองนางาซากิ โจมตีจักรวรรดิญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 6 และ 9 สิงหาคม 2488 ด้วยระเบิดชื่อลิตเติลบอย (Little Boy) น้ำหนัก 4,400 กิโลกรัม แรงระเบิด 13-16 กิโลตัน และระเบิดชื่อแฟตบอย (Fat Boy) น้ำหนัก 4,670 กิโลกรัม แรงระเบิด 21 กิโลตัน ข้อมูลจากเว็บไซต์คณะกรรมการรณรงค์เพื่อยกเลิกอาวุธนิวเคลียร์หรือไอแคน (ICAN) ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 2560 ระบุว่า นับจนถึงสิ้นปี 2488 เมืองฮิโรชิมะมีผู้เสียชีวิตราว 140,000 คน รวมถึงผู้เสียชีวิตจากรังสีนิวเคลียร์ ส่วนเมืองนางาซากิมีผู้เสียชีวิตราว 74,000 คน
สงครามเย็นและสนธิสัญญาควบคุมนิวเคลียร์
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด สิ่งที่ติดตามมา คือ สงครามเย็น เป็นช่วงเวลาที่ภูมิรัฐศาสตร์โลกถูกแบ่งออกเป็น 2 ขั้ว ระหว่างขั้วสหรัฐกับขั้วสหภาพโซเวียต ในช่วงนั้นต่างฝ่ายต่างสั่งสมอาวุธนิวเคลียร์ จนมาถึงจุดที่มีการเรียกร้องให้เปิดการเจรจาเรื่องการปลดอาวุธนิวเคลียร์ ผลการเจรจาที่ดำเนินมาร่วม 3 ปี นำมาซึ่งการลงนามสนธิสัญญาห้ามแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์หรือเอ็นพีที (The Treaty on the Non-Proliferation of Nuclear Weapons: NPT) ในปี 2511 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2513 และมีการต่ออายุในอีก 25 ปีให้เป็นสนธิสัญญาที่ไม่มีวันหมดอายุ แต่จะมีการทบทวนทุก 5 ปี
ทั้งนี้นับจนถึงปี 2559 มีประเทศต่าง ๆ ลงนามเป็นภาคีเอ็นพีทีรวมทั้งหมด 191 ประเทศ และมี 4 ประเทศที่ไม่ยอมรับเอ็นพีที
“รัฐที่มีอาวุธนิวเคลียร์” ตามเอ็นพีที
สนธิสัญญานี้กำหนดให้ประเทศที่มีและทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2510 เป็นรัฐที่มีอาวุธนิวเคลียร์ (nuclear-weapon states) ได้แก่ สหรัฐ สหภาพโซเวียต สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส จีน ซึ่งทั้งหมดเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหรือยูเอ็นเอสซี (UNSC) เท่ากับว่าเอ็นพีทียอมรับให้ประเทศหล่านี้สามารถครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ได้ ขณะที่รัฐภาคีอื่น ๆ ให้คำมั่นว่า จะใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์ในทางสันติเท่านั้น ทั้งนี้รัฐภาคีทุกรัฐรับปากว่า จะเดินหน้าเจรจาอย่างจริงใจเรื่องมาตรการที่จะปลดอาวุธนิวเคลียร์
ส่วนประเทศที่เชื่อว่าครอบครองนิวเคลียร์ แต่ไม่ได้เป็นภาคีเอ็นพีทีปัจจุบัน มี 4 ประเทศประกอบด้วยอินเดีย ปากีสถาน อิสราเอล และเกาหลีเหนือ ซึ่งเคยเป็นภาคีเอ็นพีทีแต่ถอนตัวออกมาในปี 2546 และทดสอบนิวเคลียร์ครั้งแรกในอีก 3 ปีต่อมา
ไม่เพียงไม่ปลด แต่กลับเพิ่มจำนวน
สถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์ม (SIPRI) ออกรายงานประจำปี 2568 เมื่อวันที่ 16 มิถุนายนปีนี้ ประเมินสถานการณ์ประจำปีของการมีอาวุธ การปลดอาวุธ และความมั่นคงระหว่างประเทศและพบสิ่งที่น่ากังวลว่า โลกมีความเสี่ยงเรื่องนิวเคลียร์เพิ่มสูงขึ้น เพราะมีการแข่งขันการสั่งสมอาวุธนิวเคลียร์ครั้งใหม่อย่างน่าอันตรายในช่วงเวลาที่ระบบการควบคุมอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในสภาพที่อ่อนปวกเปียกอย่างยิ่ง
ทั้งนี้นับตั้งแต่สงครามเย็นยุติลงพร้อมกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 2532 สหรัฐและรัสเซียต่างทยอยปลดหัวรบนิวเคลียร์ปลดระวางในจำนวนที่มากกว่าจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ติดตั้งใหม่ ส่งผลให้จำนวนอาวุธนิวเคลียร์ทั่วโลกลดลงปีต่อปี อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญของ SIPRI มองว่า ความร่วมมือนี้ใกล้จะถึงจุดสิ้นลง เพราะเห็นแนวโน้มชัดเจนว่า มีการสั่งสมอาวุธนิวเคลียร์เพิ่มขึ้น มีการข่มขู่เรื่องใช้อาวุธนิวเคลียร์มากขึ้น และมีการเพิกเฉยต่อข้อตกลงควบคุมอาวุธมากขึ้น
รายงานประเมินว่า นับจนถึงเดือนมกราคมปีนี้ ทั่วโลกมีหัวรบนิวเคลียร์รวมทั้งหมด 12,241 ลูก ในจำนวนนี้ 9,614 ลูก อยู่ในคลังกองทัพเพื่อเตรียมพร้อมใช้งาน เป็นข้อมูลที่ประเมินจาก 9 ประเทศประกอบด้วยรัสเซีย 5,459 ลูก, สหรัฐ 5,177 ลูก, จีน 600 ลูก, ฝรั่งเศส 290 ลูก, สหราชอาณาจักร 225 ลูก, อินเดีย 180 ลูก, ปากีสถาน 170 ลูก, อิสราเอล 90 ลูก และเกาหลีเหนือ 50 ลูก
ไม่เพียงเพิ่มจำนวน แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพ
สหรัฐและรัสเซียมีข้อตกลงทวิภาคีปี 2553 เป็นสนธิสัญญาว่าด้วยมาตรการเดินหน้าลดและจำกัดอาวุธโจมตีเชิงยุทธศาสตร์หรือนิวสตาร์ท (New START) ซึ่งจะหมดอายุในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 หากไม่มีการต่ออายุก็มีความเป็นไปได้ว่า จำนวนหัวรบนิวเคลียร์จะเพิ่มขึ้น
รัสเซียซึ่งประสบปัญหาทางการเงินได้ปรับปรุงกองกำลังเชิงยุทธศาสตร์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ให้ขีปนาวุธแต่ละลูกสามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ได้มากขึ้น ขณะที่สหรัฐประสบปัญหาทางการเงินเช่นเดียวกัน แต่ยังคงมีการผลักดันให้เดินหน้าปรับปรุงต่อไป เพื่อคานอำนาจกับจีนที่กำลังขยายกองกำลังนิวเคลียร์เร็วที่สุดในโลก จีนมีหัวรบนิวเคลียร์ใหม่ราว 100 ลูกต่อปีนับตั้งแต่ปี 2566 และมีหรือใกล้จะมีขีปนาวุธทิ้งตัวข้ามทวีปหรือไอซีบีเอ็ม (ICBM) ใหม่ประมาณ 350 ลูก อย่างไรก็ดี ถึงแม้จีนจะเร่งผลิตหัวรบนิวเคลียร์อย่างเต็มกำลังเพื่อเพิ่มจำนวนให้ได้ถึง 1,500 ลูกภายในปี 2578 ก็ยังคงมีไม่ถึง 1 ใน 3 ของรัสเซียหรือของสหรัฐ
ฟากรัฐนิวเคลียร์ในยุโรปอย่างสหราชอาณาจักร รัฐบาลพรรคแรงงานที่ได้รับเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ประกาศเดินหน้าต่อเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ติดตั้งขีปนาวุธนำวิถี (SSBN) ลำใหม่จำนวน 4 ลำ เพื่อคงมาตรการป้องปรามทางทะเลและปรับปรุงกองกำลังนิวเคลียร์ในอนาคต เช่นเดียวกับฝรั่งเศสที่เดินหน้าโครงการยกระดับ SSBN รุ่นที่ 3 และขีปนาวุธร่อนยิงจากอากาศ รวมทั้งปรับปรุงขีปนาวุธทิ้งตัวด้วยหัวรบนิวเคลียร์รุ่นใหม่
ส่วนที่อนุภูมิภาคเอเชียใต้ เชื่อกันว่าขีปนาวุธรุ่นใหม่ของอินเดียสามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ได้หลายลูก ขณะที่ปากีสถานมีการสะสมวัสดุนิวคลียร์เพิ่มมากขึ้นและปรับปรุงระบบยิงขีปนาวุธแบบใหม่
ด้านเกาหลีเหนือประกาศให้โครงการนิวเคลียร์ทางทหารเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ เกาหลีใต้ที่ยังคงเป็นคู่สงครามกับเกาหลีเหนือเนื่องจากยังไม่มีข้อตกลงสันติภาพหลังสิ้นสุดสงครามเกาหลีปี 2496 เตือนเมื่อปีก่อนว่า เกาหลีเหนืออยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธวิธี และยิ่งน่าหวาดหวั่นมากขึ้นไปอีกเมื่อนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือประกาศช่วงปลายปีให้ขยายโครงการนิวเคลียร์อย่างไม่มีขีดจำกัด
อิสราเอลที่ไม่ยอมรับต่อสาธารณะว่าครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ได้ทดสอบระบบขับเคลื่อนขีปนาวุธที่อาจเชื่อมโยงกับขีปนาวุธทิ้งตัวที่สามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ในตระกูลเจริโค และดูเหมือนว่ากำลังปรับปรุงเตาปฏิกรณ์พลูโตเนียมที่เมืองดิโมนา กลางทะเลทรายเนเกฟ
“ว่าที่รัฐนิวเคลียร์” ในตะวันออกกลาง
ตะวันออกกลางเป็นภูมิภาคที่เกิดความตึงเครียดในหลายจุด และเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ ความตึงเครียดแต่ละครั้งสร้างความกังวลใจให้แก่ประชาคมโลก แม้ปัจจุบันภูมิภาคนี้ยังไม่มีรัฐนิวเคลียร์อย่างชัดเจน แต่สปอตไลต์ส่องไปที่อิหร่าน ซึ่งยืนยันว่าดำเนินโครงการนิวเคลียร์เพื่อสันติตามที่เป็นภาคีของเอ็นพีที และอยู่ภายใต้การสังเกตการณ์อย่างเช้มงวดของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศหรือไอเออีเอ (IAEA)
มหาอำนาจตะวันตกระบุว่า การที่อิหร่านกำลังเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมให้มีความบริสุทธ์ถึง 60% ผิดวิสัยของการใช้ในทางพลเรือน เพราะเป็นเกรดความบริสุทธ์ใกล้กับเกรด 90% ที่ใช้ทำอาวุธนิวเคลียร์ ความกังวลเรื่องศักยภาพนิวเคลียร์ของอิหร่านทำให้ซาอุดีอาระเบียประกาศว่า หากอิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ ซาอุดีอาระเบียก็จะมีเช่นกัน สร้างความวิตกเรื่องจะเกิดการแข่งขันกันสั่งสมอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นในภูมิภาคนี้
Final Thoughts: จากระเบิดนิวเคลียร์สู่อาวุธนิวเคลียร์ หรือ 80 ปีที่ผ่านมาไร้ความหมาย
ยาสุโยะ ยามาเนะ คุณตาชาวเมืองฮิโรชิมะมีอายุเพียง 1 เดือน ในวันที่ระเบิดนิวเคลียร์ถูกทิ้งและทำลายล้างเมืองฮิโรชิมะเป็นลูกแรกของโลกเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2488 สร้างบันทึกความโหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
วันนี้ในวัย 80 ปี คุณตายามาเนะได้ร่วมกิจกรรมเรียกร้องสันติภาพที่ริมแม่น้ำโมโตยาสุ ตรงข้ามกับอนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิมะหรือโดมปรมาณู ซึ่งเป็นซากอาคารที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ ความปรารถนาของชายวัยชราต้องการให้โลกที่ยังคงมีการฆ่าล้างผู้บริสุทธิ์ได้มีสันติสุขเสียที
คุณตาเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณู หรือที่เรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า ฮิบะกุชะ (Hibakusha) ซึ่งเหลือไม่ถึง 1 แสนคน และมีจำนวนลดลงทุกปี ประสบการณ์ตรงที่มีค่าของพวกเขาที่จะถ่ายทอดให้กับมนุษยชาติจึงลดน้อยลงทุกปี ขณะที่มหาอำนาจยังนำโลกเข้าสู่ความเสี่ยงของสงครามนิวเคลียร์ ไม่มีความตั้งใจจริงที่จะปลดนิวเคลียร์ตามปณิธานแห่งสันติภาพของพวกเขา-814.-สำนักข่าวไทย