นิวเดลี 14 ส.ค.- ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ในอินเดียเผยว่า กำลังประสบปัญหาในการได้รับยาต้านไวรัสที่รัฐแจกฟรี ซึ่งจำเป็นต้องรับประทานทุกวันเพื่อควบคุมปริมาณเชื้อในร่างกาย ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขอินเดียปฏิเสธว่าไม่มีปัญหายาขาดแคลน
อินเดียมีผู้ติดเอชไอวีประมาณ 2 ล้าน 3 แสนคน มากเป็นอันดับ 3 ของโลก รัฐบาลเริ่มแจกยาต้านไวรัสฟรีตั้งแต่ปี 2547 หรือ 3 ปีหลังจากซิปลา (Cipla) บริษัทยารายใหญ่ของประเทศเริ่มผลิตยาสามัญของยาต้นตำรับสูตรผสม 3 ขนานที่ก่อนหน้านั้นมีราคาแพงมากและผลิตโดยบริษัทยาข้ามชาติ ค่ายาของยาต้นตำรับตกปีละ 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 423,876 บาท) ขณะที่ค่ายาของซิปลาเหลือปีละ 350 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 12,363 บาท) แต่ก็ยังมีผู้ติดเชื้อในอินเดียจำนวนมากที่ไม่สามารถจ่ายได้ และต้องพึ่งพายาแจกฟรีตามศูนย์รักษาด้วยยาต้านไวรัสที่มีอยู่ทั่วประเทศ
หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้ติดเชื้อและนักเคลื่อนไหวพากันประท้วงหน้าสำนักงานองค์การควบคุมเอดส์แห่งชาติ (Naco) สังกัดกระทรวงสาธารณสุขเรื่องยาขาดแคลนอย่างหนัก ผู้ติดเชื้อรายหนึ่งต้องรับประทานยาต้านสูตรสำหรับเด็กวันละ 11 เม็ด แก้ปัญหาขาดแคลนยาต้านแจกฟรีสูตรสำหรับผู้ใหญ่ที่รับประทานวันละ 2 เม็ด ผู้ติดเชื้ออีกรายเผยว่า ศูนย์รักษาด้วยยาต้านไวรัสเริ่มแจกยาเป็นรายสัปดาห์ จากเดิมที่แจกอย่างน้อย 1 เดือน เพิ่มภาระให้แก่ผู้ติดเชื้อในการเดินทางไปรับยา ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การรับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมปริมาณไวรัสในร่างกายของผู้ติดเชื้อ ลดความเสี่ยงแพร่เชื้อให้ผู้อื่น ลดโอกาสดื้อยา และลดโอกาสเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น วัณโรค
ด้านกระทรวงสาธารณสุขอินเดียยืนยันว่า ไม่มีปัญหาเรื่องยาต้านไวรัสแจกฟรีขาดแคลนทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น และได้สั่งซื้อยาล็อตใหม่แล้ว คาดว่าจะได้รับก่อนยาคงคลังในปัจจุบันหมด แต่ไม่ชี้แจงเรื่องที่กลุ่มเคลื่อนไหวกล่าวหาว่า สาเหตุที่ยาขาดแคลนเกิดจากองค์การควบคุมเอดส์แห่งชาติล่าช้าเรื่องการเปิดประมูลซื้อยาจากบริษัทยา.-สำนักข่าวไทย