ฮานอย 6 มิ.ย.- นักเศรษฐศาสตร์มีความคิดเห็นแตกต่างกันเรื่องรัฐบาลเวียดนามควรจะรับมือกับภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างไรท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลก
อัตราเงินเฟ้อเวียดนามช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 2.25 สูงกว่า 5 เดือนแรกของปีก่อนที่อยู่ที่ร้อยละ 1.29 ธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) คาดการณ์เมื่อเดือนก่อนว่า เงินเฟ้อเวียดนามจะแตะร้อยละ 3.7 ในปีนี้ ต่ำกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ไม่ให้เกินร้อยละ 4 นายจั่น ดินญ์ เทียน อดีตประธานสถาบันเศรษฐศาสตร์เวียดนามชี้ว่า หากรัฐบาลชะลอการใช้จ่ายเพราะกังวลภาวะเงินเฟ้อ จะกลายเป็นการเสียโอกาส ทางการต้องคิดนอกกรอบในช่วงเวลาที่สภาพการณ์ไม่ปกติเช่นนี้ เขามองว่าเศรษฐกิจมีแรงผลักดันให้ฟื้นตัวอยู่แล้ว และถึงแม้รัฐบาลไม่อัดฉีดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อก็จะสูงเกินกว่าที่รัฐบาลจะควบคุมได้ รัฐบาลจึงควรยอมรับอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าร้อยละ 4 และอัดฉีดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจ
ด้านนายหวู ทัน ตื่อ อัน มหาวิทยาลัยฟุลไบรท์เวียดนามกังวลว่า สงครามยูเครน-รัสเซียและอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐและสหภาพยุโรปหรืออียูที่สูงกว่าร้อยละ 8 จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเวียดนามสูงยิ่งขึ้นไปอีก เพราะผลกระทบในปัจจุบันยังไม่ใช่ผลที่เกิดขึ้นอย่างเต็มตัว การอัดฉีดเงินเข้าเศรษฐกิจในเวลานี้อาจทำให้เกิดผลทางลบ รัฐบาลควรดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง ขณะที่นายแอนดรู เจฟฟรีส์ ผู้อำนวยการธนาคารพัฒนาเอเชียประจำเวียดนามแนะว่า เวียดนามควรจับตาดูผลกระทบภาวะเงินเฟ้อในระดับโลกต่อไป เพราะการผ่อนคลายนโยบายการเงินของสหรัฐและอียูอาจทำให้ราคาเชื้อเพลิงปรับเพิ่มขึ้นอีก ส่วนนายฟรองซัวส์ แปงโชด์ ผู้แทนกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ (IMF) ประจำเวียดนามชี้ว่า เวียดนามยังไม่ควรผ่อนคลายนโยบายทางการเงินในเวลานี้ และธนาคารควรเพิ่มทุนสำรองให้มากขึ้น.-สำนักข่าวไทย