กรุงเทพฯ 25 มี.ค. – นักวิชาการอาเซียนมองอนาคตอาเซียนหลังครบรอบ 50 ปี ว่าเป็นภูมิภาคแห่งโอกาสและแกนกลางการค้าโลก แต่ต้องรับมือการช่วงชิงบทบาทของชาติมหาอำนาจในภูมิภาคที่จะทวีความเข้มข้นขึ้น พร้อมแนะให้ชาติสมาชิกเร่งสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว
ในการเสวนาหัวข้อ “อาเซียนปีที่ 50 : มองอดีต ก้าวสู่อนาคต” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน TU-ASEAN International Conference 2017 ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ นักวิชาการจากชาติสมาชิกอาเซียนมีความคิดเห็นสอดคล้องกันว่า หลังวาระครบรอบ 50 ปีของการก่อตั้งอาเซียนในปีนี้ อาเซียนจะทวีความสำคัญในฐานะแกนกลางความร่วมมือทางการค้าโลกมากขึ้น ด้วยปัจจัยสำคัญคือที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม เป็นทางผ่านของเส้นทางการค้าสำคัญของโลก อาทิ เส้นทางสายไหมของจีน ซึ่งจะส่งผลให้ชาติมหาอำนาจเข้ามาแสวงหาช่องทางการค้ามากขึ้น นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่าอาเซียนจะผงาดขึ้นเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลกได้ภายในปี 2568 ด้วย
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการยังเห็นตรงกันว่า การเข้ามามีบทบาทมากขึ้นของชาติมหาอำนาจจะกระทบต่อความมั่นคงในภูมิภาค เนื่องจากแต่ละชาติจะพยายามเข้ามาแข่งขันช่วงชิงโอกาสในภูมิภาคกันอย่างเข้มข้นขึ้น ทำให้ชาติสมาชิกอาเซียนถูกบีบให้เลือกข้าง เท่ากับเป็นการทดสอบความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาเซียน โดยสถานการณ์ที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดคือกรณีพิพาทในทะเลจีนใต้
นักวิชาการยังเสนอแนะด้วยว่า อาเซียนต้องร่วมกันทำให้โครงสร้างพื้นฐานและสถาบันต่างๆ ทั้งในระดับชาติและภูมิภาคมีความแข็งแกร่ง ตั้งเป้าหมายร่วมกันให้ชัดเจนมากขึ้น อีกทั้งต้องทำให้ประชากรแต่ละชาติมีความตระหนักรู้ในการรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อที่ทุกชาติสมาชิกจะได้จับมือกันก้าวข้ามทุกความท้าทาย และคว้าทุกโอกาสที่จะเข้ามาในภูมิภาคอย่างเต็มที่.-สำนักข่าวไทย