รัสเซีย 28 ก.พ. – ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย มีคำสั่งยกระดับให้หน่วยทหารที่ดูแลเรื่องการยิงอาวุธนิวเคลียร์เตรียมพร้อมขั้นสูง อ้างชาติตะวันตกกำลังเคลื่อนไหวที่ไม่เป็นมิตรต่อรัสเซีย อาจหมายถึงการที่สหรัฐกับชาติยุโรปอีกหลายชาติประสานเสียงจะส่งอาวุธให้กองทัพยูเครนจำนวนมาก เพื่อใช้สู้กับรัสเซีย
ประธานาธิบดีปูตินกล่าวระหว่างเป็นประธานการประชุมด้านความมั่นคงว่า เขาได้สั่งการยกระดับให้หน่วยทหารที่ดูแลเรื่องการยิงอาวุธนิวเคลียร์เตรียมพร้อมขั้นสูง เพื่อตอบโต้ท่าทีของบรรดาชาติตะวันตกที่กำลังมีการเคลื่อนไหวที่ไม่เป็นมิตรต่อรัสเซีย อาจหมายถึงการที่สหรัฐกับชาติยุโรปอีกหลายชาติออกมาประกาศพร้อมๆ กันในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมาว่าจะส่งอาวุธให้กับกองทัพยูเครนจำนวนมาก เพื่อใช้สู้กับรัสเซีย และการที่ชาติตะวันตกพร้อมใจออกมาประณามรัสเซียอย่างรุนแรง จากกรณีทำสงครามบุกโจมตียูเครน ถือเป็นการส่งสัญญาณอีกครั้งของผู้นำรัสเซียที่เคยประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าหากชาติใดขัดขวางปฏิบัติการของรัสเซียในยูเครน จะต้องเผชิญกับผลที่ตามมาแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แม้คำประกาศล่าสุดของนายปูตินจะไม่ได้หมายความว่ารัสเซียจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ แต่หลายฝ่ายออกมาประณามท่าทีดังกล่าว เริ่มจากทูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ บอกว่าคำกล่าวของนายปูตินจะยิ่งทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งเลวร้ายลง
โฆษกทำเนียบขาวสหรัฐบอกว่า รัสเซียไม่จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมด้านนิวเคลียร์ เพราะที่ผ่านมารัสเซียยังไม่ได้เผชิญภัยคุกคามจากประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต แม้แต่น้อย ขณะที่เยนส์ สโทลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโต บอกว่าท่าทีล่าสุดของรัสเซียเรื่องนิวเคลียร์ถือว่าอันตรายอย่างยิ่ง
ด้านสหภาพยุโรป หรืออียู ได้ดำเนินมาตรการตอบโต้และลงโทษรัสเซียเพิ่มเติมอีกหลายรายการ ทั้งเพิ่มงบประมาณสนับสนุนด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ยูเครน การตัดสินใจปิดน่านฟ้า ห้ามไม่ให้เครื่องบินและสายการบินของรัสเซียบินผ่าน รวมถึงห้ามสื่อของรัฐบาลรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย ทูเดย์ หรืออาร์ที (RT) และสปุตนิก เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในอียู เพิ่มเติมจากมาตรการลงโทษอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ซึ่งรวมถึงมาตรการคว่ำบาตรทางการเงินอย่างหนักต่อสถาบันการเงินรัสเซีย และลงโทษบุคคลระดับสูงของรัสเซียเป็นรายบุคคล รวมถึงประธานาธิบดีปูตินด้วย
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า รัฐบาลยูเครนยืนยันว่าจะเข้าร่วมการเจรจากับรัสเซียที่พรมแดนเบลารุส หลังจากสู้รบกันอย่างดุเดือดมา 4 วัน และมีพลเรือนเสียชีวิตและบาดเจ็บแล้วมากกว่า 260 ราย ตามข้อมูลของทางการยูเครน และต้องอพยพไปยังประเทศเพื่อนบ้านอีกมากกว่า 200,000 คน ซึ่งตัวแทนจากรัฐบาลยูเครนตกลงที่จะพบกับตัวแทนฝ่ายรัสเซียโดยไม่มีเงื่อนไข คาดว่าการเจรจาจะเกิดขึ้นใกล้กับแม่น้ำพริบยัต ไม่ไกลจากเมืองที่ตั้งของโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลที่เคยเกิดอุบัติเหตุนิวเคลียร์ร้ายแรงเมื่อปี 2529 แต่ยังไม่มีข้อมูลว่าการเจรจาจะเกิดขึ้นเมื่อใด
ทั้งนี้ กองทัพรัสเซียยังคงอยูระหว่างโจมตีเมืองคาร์คิฟ เมืองใหญ่อันดับ 2 ของยูเครน ตลอดทั้งวันที่ผ่านมา รวมถึงพยายามจะบุกเข้าไปยังกรุงเคียฟที่เป็นเมืองหลวง แต่ยังคงเผชิญการต้านทานจากทหารกองทัพยูเครนอย่างแข็งแกร่ง และยูเครนยังคงเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ในทั้ง 2 เมืองได้อยู่ โดยการสู้รบจนถึงขณะนี้ ส่งผลให้ทหารยูเครนเสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 134 นาย ตามข้อมูลของสหประชาชาติ
ขณะที่รัฐมนตรีช่วยกลาโหมยูเครนอ้างว่า กองทัพยูเครนสามารถสังหารทหารรัสเซียได้มากกว่า 4,300 นาย และทำลายเครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ รถถัง ยานยนต์หุ้มเกราะของรัสเซียได้อีกจำนวนมาก แต่ยังไม่มีใครสามารถยืนยันข้อเท็จจริงเรื่องคำกล่าวอ้างดังกล่าวได้ ส่วนกระทรวงกลาโหมรัสเซียเพิ่งออกมายอมรับว่ามีทหารบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการสู้รบในยูเครน แต่ยังไม่ยืนยันตัวเลขที่แน่ชัด.-สำนักข่าวไทย