ลอนดอน 4 ก.พ. – คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดของอังกฤษค้นพบเชื้อไวรัสเอชไอวีสายพันธุ์รุนแรงมากที่กำลังแพร่กระจายอย่างเงียบ ๆ ในเนเธอร์แลนด์มาเป็นเวลาหลายสิบปี แต่การระบาดของเชื้อดังกล่าวไม่น่าวิตกกังวล เนื่องจากวิทยาการรักษาสมัยใหม่ในปัจจุบันยังคงมีประสิทธิภาพต้านเชื้อดังกล่าวได้
ผลวิจัยของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร ‘ไซเอินส์’ (Science) ระบุว่า ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสเอชไอวีสายพันธุ์วีบี (VB variant) มีปริมาณเชื้อไวรัสในเลือดสูงกว่าผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์อื่น ๆ ราว 3.5-5.5 เท่า และยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายได้รวดเร็วขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ดี ผลวิจัยชี้ว่า ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์วีบีสามารถฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันและใช้ชีวิตได้ต่อไปหลังเข้ารับการรักษาเช่นเดียวผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์อื่น ๆ ขณะที่ ดร. คริส วายแมนต์ นักระบาดวิทยาของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและเป็นหัวหน้าคณะผู้เขียนวิจัยในครั้งนี้ กล่าวว่า เชื้อเอชไอวีสายพันธุ์วีบียังไม่มีความน่าวิตกกังวล
ผลวิจัยดังกล่าวยังระบุว่า เชื้อเอชไอวีสายพันธุ์วีบีแพร่ระบาดมากขึ้นในช่วงปลายทศวรรษหลังปี 1980 ถึงช่วงต้นทศวรรษหลังปี 1990 ในเนเธอร์แลนด์ และเริ่มพบการระบาดลดลงในปี 2010 คณะนักวิจัยเชื่อว่าการระบาดของเชื้อเอชไอวีในเนเธอร์แลนด์จะไม่ทำให้เกิดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ชนิดใหม่ เนื่องจากวิทยาการรักษาสมัยใหม่ยังคงมีประสิทธิภาพต่อเชื้อดังกล่าวได้ดี รวมถึงการตรวจพบเชื้อและการเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ของผู้ป่วย ทั้งนี้ ผลวิจัยดังกล่าวระบุว่า พบผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีสายพันธุ์วีบีในเนเธอร์แลนด์ทั้งหมด 109 คน โดยมีผู้ป่วยเพียง 4 คนที่อยู่ต่างประเทศ แต่ก็เป็นประเทศที่อยู่ในภูมิภาคยุโรปตะวันตกเช่นเดียวกับเนเธอร์แลนด์.-สำนักข่าวไทย