ปารีส 17 ม.ค.- รายงานของอ็อกแฟม องค์กรไม่แสวงหากำไรในอังกฤษเผยว่า มหาเศรษฐี 10 อันดับแรกของโลกมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 2 เท่าในช่วง 2 ปีแรกที่โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 แพร่ระบาด ขณะที่ทั่วโลกมีคนกลายเป็นคนจนมากถึง 160 ล้านคน
อ็อกแฟมเผยแพร่รายงานก่อนที่ผู้นำโลกจะประชุมสุดยอดแบบเสมือนจริงผ่านเว็บไซต์และสื่อสังคมออนไลน์ของเวิลด์อีโคโนมิกฟอรัมระหว่างวันที่ 17-21 มกราคมว่า มหาเศรษฐี 10 อันดับแรกของโลกมีทรัพย์สินรวมกันเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดจาก 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 23.27 ล้านล้านบาท) เป็น 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 49.86 ล้านล้านบาท) เฉลี่ยเพิ่มขึ้นวันละ 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 43,215 ล้านบาท) มหาเศรษฐีเหล่านี้มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นในช่วง 2 ปีแรกของโควิดระบาด มากกว่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นในช่วง 14 ปีหลังเกิดวิกฤตการเงินโลก
อ็อกแฟมระบุว่า ความไม่เท่าเทียมนี้ถือเป็น “ความรุนแรงทางเศรษฐกิจ” และเป็นเหตุให้มีคนเสียชีวิตมากถึงวันละ 21,000 คน เพราะไม่ได้รับบริการสาธารณสุข ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงเพราะความไม่เท่าเทียมทางเพศ ความหิวโหย และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะที่โรคโควิด-19 ทำให้คน 160 ล้านคนกลายเป็นคนยากจน กลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่ใช่คนผิวขาวและกลุ่มสตรีเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด อ็อกแฟมเรียกร้องให้ปฏิรูประบบภาษีเพื่อนำเงินมาผลิตวัคซีน จัดสรรบริการสาธารณสุข ดำเนินมาตรการปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และลดความรุนแรงเพราะความไม่เท่าเทียมทางเพศ เพื่อช่วยชีวิตผู้คน
อ็อกแฟมเผยด้วยว่า คำนวณทรัพย์สินของมหาเศรษฐี 10 อันดับแรกของโลกตามข้อมูลล่าสุดที่มีอยู่ และอ้างอิงตามที่นิตยสารฟอร์บส์จัดอันดับ 10 มหาเศรษฐีประจำปี 2564 ได้แก่ อีลอน มัสก์ เจ้าของเทสลา, เจฟฟ์ เบโซส เจ้าของแอมะซอน, แลร์รี เพจและเซอร์เกย์ บริน ผู้ก่อตั้งกูเกิล, มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เจ้าของเฟซบุ๊ก, บิล เกตส์และสตีฟ บัลเมอร์ อดีตซีอีโอไมโครซอฟท์, แลร์รี เอลลิสัน อดีตซีอีโอออราเคิล, วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุน และแบร์นาร์ด อาร์โนลต์ เจ้าของกลุ่มธุรกิจแบรนด์หรูแอลวีเอ็มเอช.-สำนักข่าวไทย