สหรัฐ 27 ม.ค.-ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ยังคงดับเครื่องชนเม็กซิโกประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากเม็กซิโก 20% เพื่อใช้เป็นงบประมาณก่อสร้างกำแพงกั้นพรมแดนระหว่างสหรัฐ และเม็กซิโก เพื่อสกัดกั้นผู้อพยพไม่ให้หลั่งไหลเข้าสหรัฐ ขณะที่ประธานาธิบดีเม็กซิโก ตัดสินใจล้มเลิกแผนการเยือนสหรัฐ ในวันอังคารหน้าแล้วเพราะทนไม่ไหวต่อท่าทีดูหมิ่นเหยียดหยาม ของสหรัฐก่อนหน้านั้น ทรัมป์ ทวีตข้อความว่าหากเม็กซิโกไม่ยอมจ่ายค่าสร้างกำแพง ที่สหรัฐเห็นว่าจำเป็นต้องสร้างอย่างเร่งด่วน ผู้นำเม็กซิโกก็ควรยกเลิกแผนการเยือนสหรัฐเสียเลยจะดีกว่า
ขณะที่ประธานาธิบดีเอ็นริเก เปญา เนียโต ผู้นำเม็กซิโก ทวีตข้อความตอบโต้ว่า ได้แจ้งให้ทำเนียบขาวทราบแล้วว่า จะไม่เข้าร่วมการหารือกับนายทรัมป์ ที่กำหนดมีขึ้นในวันอังคารหน้า ขณะที่นายฌอน สไปเซอร์ โฆษกทำเนียบขาวชี้แจ้งการสาดสงครามน้ำลายผ่านทวิตเตอร์ ระหว่างผู้นำ 2 ประเทศว่า สหรัฐและเม็กซิโก ยังคงมีการติดต่อกันและรัฐบาลสหรัฐหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะมีการพบหารือระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายในอนาคต พร้อมย้ำว่านายทรัมป์ เคยเสนอแนวคิด ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก 20% เพื่อนำเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในการสร้างกำแพงจริง แต่นี่เป็นเพียง 1 ในหลายๆแนวทางเท่านั้น
พรรคเดโมแครต เตือนว่าเม็กซิโกเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐ และการสร้างกำแพงจะส่งผลเสียต่อผู้บริโภคของสหรัฐเอง นั่นคือราคาสินค้า และอาหารจะแพงขึ้น ส่วนบริษัทวอลมาร์ทซึ่งเป็นเครือร้านค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดในโลก และมีสาขาอยู่ในเม็กซิโกจำนวนมาก ออกมาเตือนผู้นำสหรัฐว่าการเพิ่มการกีดกันการค้าต่อเม็กซิโก จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในอเมริกาเอง และยังสุ่มเสี่ยงเป็นการละเมิดกฎขององค์การการค้าโลก หรือ WTO ด้วย และไม่เพียงเม็กซิโกที่ต้องสั่นสะเทือนเพราะนโยบายของนายทรัมป์ แต่องค์การสหประชาชาติกำลังจับตาความเคลื่อนไหวของนายทรัมป์ หลังมีข่าวว่านายทรัมป์ เตรียมใช้อำนาจพิเศษประธานาธิบดี ปรับลดงบประมาณสนับสนุนองค์กรระหว่างประเทศ ในหน่วยงานของสหประชาชาติ โดยยูเอ็นพร้อมหารือเรื่องนี้ กับรัฐบาลสหรัฐ
แต่หากนายทรัมป์จะตัดสินใจเช่นนั้นจริง ก็ใช่ว่าจะสามารถมีผลใช้ได้ในทันที เนื่องจากต้องผ่านการอภิปรายของที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ทั้ง 193 ประเทศเสียก่อน ปัจจุบันสหรัฐถือเป็นประเทศผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดของสหประชาชาติด้วยสัดส่วน 22% หรือราว 7,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือราว 273,000 ล้านบาท .-สำนักข่าวไทย