วอชิงตัน/แคนเบอร์รา 16 ก.ย. – สหรัฐ อังกฤษ และออสเตรเลีย แถลงร่วมกันเมื่อวานนี้ตามเวลาท้องถิ่นว่า ทั้งสามประเทศจะสร้างพันธมิตรด้านความมั่นคงในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกที่รวมถึงการช่วยรัฐบาลออสเตรเลียสร้างเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ ในขณะที่จีนขยายอิทธิพลเพิ่มขึ้นในภูมิภาคดังกล่าว
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ และนายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสัน ของออสเตรเลีย ประกาศความร่วมมือโดยที่สหรัฐกับอังกฤษจะช่วยออสเตรเลียจัดหาเทคโนโลยีและขีดความสามารถในการเป็นเจ้าของเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ ผู้นำของทั้งสามประเทศเน้นย้ำว่า ออสเตรเลียจะไม่ได้รับอาวุธนิวเคลียร์เพื่อนำไปใช้ก่อสงคราม แต่เป็นการใช้ระบบขับเคลื่อนนิวเคลียร์สำหรับเรือเพื่อป้องกันภัยคุกคามเท่านั้น
ประธานาธิบดีไบเดน กล่าวว่า ทั้งสามประเทศตระหนักถึงความจำเป็นในการสร้างสันติภาพและความมั่นคงระยะยาวในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยต้องมีความสามารถในการจัดการกับสภาพแวดล้อมเชิงกลยุทธ์ในปัจจุบันของภูมิภาคดังกล่าว รวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นเพราะอนาคตของแต่ละประเทศและของโลกขึ้นอยู่กับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้างอย่างยั่งยืนและก้าวหน้าในอีกหลายสิบปีข้างหน้า ขณะที่นายกรัฐมนตรีมอร์ริสันระบุว่า เรือดำน้ำดังกล่าวจะได้รับการสร้างขึ้นในนครแอดิเลดของรัฐเซาท์ออสเตรเลียภายใต้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดของสหรัฐและอังกฤษ โดยที่ออสเตรเลียจะสร้างเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ 8 ลำภายใต้สนธิสัญญาความมั่นคงอินโด-แปซิฟิกครั้งใหม่ ส่วนนายกรัฐมนตรีจอห์นสันเผยว่า ถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของออสเตรเลียในการครอบครองเทคโนโลยีดังกล่าว ทั้งนี้ ออสเตรเลียจะเป็นประเทศที่สองต่อจากอังกฤษที่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงเทคโนโลยีนิวเคลียร์ของสหรัฐในปี 2501 เพื่อสร้างเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์
ในขณะเดียวกัน สถานทูตจีนประจำสหรัฐได้ออกมาตอบโต้ท่าทีของทั้งสามประเทศด้วยการกล่าวว่า ประเทศต่าง ๆ ไม่ควรสร้างกลุ่มกีดกันเพื่อกำหนดเป้าหมายหรือมุ่งทำลายผลประโยชน์ของบุคคลที่สาม และควรสลัดความคิดในยุคสงครามเย็นและอคติทางอุดมการณ์ ขณะที่นายกรัฐมนตรีจาซินดา อาร์เดิร์น ของนิวซีแลนด์ระบุว่า เธอรู้สึกยินดีต่อเป้าหมายของทั้งสามประเทศในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก แต่นิวซีแลนด์จะไม่อนุญาตให้เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ของออสเตรเลียเข้ามาในน่านน้ำของประเทศ เนื่องจากนิวซีแลนด์ได้ใช้นโยบายปลอดนิวเคลียร์มาเป็นเวลานานแล้ว.-สำนักข่าวไทย