ซิดนีย์ 29 ก.ค. – นายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสัน ของออสเตรเลีย ระบุว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 เพียงอย่างเดียวไม่อาจยุติการใช้มาตรการล็อกดาวน์ในนครซิดนีย์ได้ ในขณะที่รัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งมีนครซิดนีย์เป็นเมืองเอก พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 239 คน ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่พบการระบาด
นายกรัฐมนตรีมอร์ริสันกล่าวกับไนน์นิวส์ของออสเตรเลียว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มีส่วนช่วยให้มาตรการล็อกดาวน์ในนครซิดนีย์สิ้นสุดลงได้แน่นอน ทางการออสเตรเลียจึงจำเป็นต้องเพิ่มอัตราฉีดวัคซีนของประชาชนในนครซิดนีย์ที่อยู่ในระดับต่ำเพื่อช่วยยุติการใช้มาตรการล็อกดาวน์ แต่การฉีดวัคซีนเพียงอย่างเดียวจะไม่ช่วยให้มาตรการล็อกดาวน์สิ้นสุดลง เขาหวังว่าการขยายการใช้มาตรการล็อกดาวน์และมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับการเดินทางในหลายพื้นที่ของนครซิดนีย์อาจช่วยควบคุมการระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาที่พบครั้งแรกในอินเดียและแพร่เชื้อรวดเร็วขึ้น
ในขณะเดียวกัน รัฐนิวเซาท์เวลส์รายงานวันนี้ว่า พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 239 คน ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่พบการระบาด ส่งผลให้ทางการเพิ่มอำนาจให้ตำรวจสั่งปิดธุรกิจที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการล็อกดาวน์ได้ ขณะที่สั่งให้ชาวนครซิดนีย์กว่า 2 ล้านคนในพื้นที่ 8 แห่งที่พบการระบาดรุนแรงต้องสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่กลางแจ้ง และออกนอกบ้านได้ไม่เกินรัศมี 5 กิโลเมตร ขณะนี้นครซิดนีย์มียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมกว่า 2,800 คนจากการระบาดครั้งล่าสุด และกำลังอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์เป็นสัปดาห์ที่ห้าหลังทางการตัดสินใจขยายมาตรการล็อกดาวน์ต่อไปอีก 1 เดือน โดยจะสิ้นสุดในวันที่ 28 สิงหาคม ทั้งนี้ รัฐนิวเซาท์เวลส์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ครบสองโดสให้แก่ประชาชนอายุ 16 ปีขึ้นไปได้เพียงร้อยละ 17 ขณะนี้ออสเตรเลียมียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมกว่า 33,700 คน และผู้เสียชีวิต 923 คน.-สำนักข่าวไทย