วอชิงตัน 28 ก.ค. – ผลการศีกษาที่เผยแพร่ในวันนี้แสดงให้เห็นว่า การฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของแอสตราเซเนกาเข็มที่ 2 แล้วไม่เพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดอาการลิ่มเลือดอุดตันชนิดหายากที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ทำให้คลายความกังวลในเรื่องของผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน
ข้อมูลซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่ทางวารสารการแพทย์แลนเซต ระบุว่า อัตราของการเกิดลิ่มเลือดในอาการเกล็ดเลือดต่ำ หรือ ทีทีเอส หลังจากฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาอยู่ที่ 2.3 ต่อ ผู้ที่ฉีดวัคซีน 1 ล้านคน เปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย รายงานระบุว่า อัตราดังกล่าวอยู่ที่ 8.4 หลังจากฉีดวัคซีนโดสแรกไปแล้ว การวิจัยนี้ แอสตราเซเนกาเป็นแกนนำและให้เงินทุนสนับสนุน ประเมินรายงานของอาการที่เกิดขึ้นภายใน 14 วัน หลังจากฉีดวัคซีนโดสแรกและโดสที่ 2 จนถึงวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา โดยใช้ฐานข้อมูลด้านความปลอดภัยทั่วโลกของแอสตราเซเนกา ผู้ผลิตยาสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน นายเมเน แพนกาลอส ผู้บริหารระดับสูงของแอสตราเซเนกา กล่าวว่า หากไม่มีอาการลิ่มเลือดอุดตันหลังจากการฉีดเข็มแรกแล้ว ผลการศึกษานี้สนับสนุนการฉีดวัคซีน “แว็กซ์เซฟเรีย” (Vaxzevria) ของแอสตราเซเนกา เพื่อช่วยป้องกันเชื้อไวรัสโรคโควิด-19 รวมถึงไวรัสกลายพันธุ์ สายพันธุ์ที่น่ากังวลอื่น ๆ วัคซีนของแอสตราเซเนกา ซึ่งร่วมพัฒนาโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดของอังกฤษ ยังตามหลังวัคซีนขนานอื่น ๆ เนื่องจากความล่าช้าในการผลิต และความเป็นไปได้ที่เกี่ยวข้องกับภาวะลิ่มเลือดอุดตันชนิดหายาก.-สำนักข่าวไทย