ซิดนีย์/เมลเบิร์น 21 ก.ค. – รัฐนิวเซาท์เวลส์และรัฐวิกตอเรียของออสเตรเลียพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 รายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ความหวังในการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ยังไม่แน่นอน ในขณะที่ชาวออสเตรเลียกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด 25 ล้านคนถูกสั่งให้อยู่แต่ในบ้าน
รัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งมีนครซิดนีย์เป็นเมืองเอก รายงานวันนี้ว่า พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 110 คน เพิ่มขึ้นจากเมื่อวานนี้ที่มี 78 คน ในขณะที่ทางการใช้มาตรการล็อกดาวน์เป็นเวลาเกือบ 4 สัปดาห์ในนครซิดนีย์และพื้นที่โดยรอบเพื่อควบคุมการระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาที่พบครั้งแรกในอินเดียและแพร่เชื้อได้อย่างรวดเร็ว นางแกลดีส เบเรจิกเลียน มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์กล่าวในงานแถลงข่าวที่ถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ว่า ถ้าทางการไม่ได้ใช้มาตรการล็อกดาวน์เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ก็คงจะพบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่มากกว่าที่รายงานหลายเท่า และขอให้ทุกคนช่วยกันยกการ์ดให้สูงขึ้นต่อไป ทั้งยังระบุเพิ่มเติมว่า ในจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ มีผู้ป่วยมากถึง 43 คนที่มีประวัติออกเดินทางไปทั่วชุมชนขณะติดเชื้อ เพิ่มขึ้นจากวันก่อนถึงสองเท่า และเธอไม่อาจบอกได้ว่าจะยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ตามกำหนดในวันที่ 30 กรกฎาคมได้หรือไม่จนกว่าจะถึงสัปดาห์หน้า
ในขณะเดียวกัน รัฐวิกตอเรีย ซึ่งมีนครเมลเบิร์นเป็นเมืองเอก พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 22 คน เพิ่มขึ้นจากวันก่อนที่มี 9 คน ถือเป็นยอดผู้ป่วยติดเชื้อที่พุ่งสูงสุดจากการระบาดครั้งล่าสุดในเดือนนี้ ในขณะที่ใกล้เข้าสู่สัปดาห์ที่สองของการใช้มาตรการล็อกดาวน์ ส่วนรัฐเซาท์ออสเตรเลีย ซึ่งมีนครแอดิเลดเป็นเมืองเอก กำลังอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์เป็นวันแรก และพบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 1 คน ขณะนี้ ออสเตรเลียมียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมกว่า 32,200 คน และผู้เสียชีวิต 915 คน.-สำนักข่าวไทย