นิวยอร์ก 21 ก.ค. – ไฟป่าที่กำลังลุกลามไปทั่วภาคตะวันตกของสหรัฐและแคนาดา ซึ่งรวมถึงไฟป่าครั้งใหญ่ที่เผาไหม้มาเป็นเวลา 2 สัปดาห์ในรัฐออริกอนของสหรัฐ ทำให้กลุ่มควันและเขม่าถูกพัดไปทางทิศตะวันออกจนกลายเป็นมลพิษทางอากาศที่เป็นอันตรายได้ไกลถึงนครนิวยอร์ก
นครนิวยอร์กที่มีหมอกสีเทาปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าในเขตแมนฮัตตันมีค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) ของฝุ่นละอองขนาดเล็กสูงถึง 170 ซึ่งอยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ และสูงกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ถึงเก้าเท่า ขณะที่เมืองฟิลาเดลเฟียในรัฐเพนซิลเวเนียที่มีพรมแดนติดกันมีค่าดัชนีคุณภาพอากาศสูงถึง 172 ส่วนเมืองอื่น ๆ ที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ เช่น เมืองบอสตันและนครฮาร์ตฟอร์ดในรัฐคอนเนตทิคัตก็มีค่าดัชนีคุณภาพอากาศสูงกว่า 150 ซึ่งอยู่ในระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพเช่นกัน ด้านทางการท้องถิ่นได้แนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่กลางแจ้งเพื่อเลี่ยงการสูดควันพิษจากฝุ่นละออง
ศูนย์ประสานงานไฟป่าแห่งชาติของสหรัฐในนครบอยซีของรัฐไอดาโฮรายงานว่า มีไฟป่าที่กำลังลุกไหม้กว่า 80 จุดใน 13 รัฐของภาคตะวันตกและเผาผลาญพื้นที่ป่าไม้แห้งแล้งรวมกันเกือบ 1.3 ล้านเอเคอร์ (5,260 ตารางกิโลเมตร) ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ารัฐเดลาแวร์ ขณะที่เจ้าหน้าที่ของแคนาดาระบุว่า มีไฟป่าเกิดขึ้นหลายร้อยจุดในภาคตะวันตกและภาคกลางของแคนาดา ในจำนวนนี้ มีไฟป่าที่ยังควบคุมไม่ได้ถึง 86 จุดในรัฐบริติชโคลัมเบียเพียงรัฐเดียวนับถึงวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น
ในขณะเดียวกัน ไฟป่าบูตเลก (Bootleg Fire) ได้เผาผลาญพื้นที่ราว 388,600 เอเคอร์ (1,572 ตารางกิโลเมตร) รอบป่าสงวนแห่งชาติฟรีมองต์-วิเนมาที่ตั้งอยู่ห่างจากเมืองพอร์ตแลนด์ในรัฐออริกอนไปทางใต้ราว 400 กิโลเมตรนับตั้งแต่เริ่มประทุเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม และกลายเป็นไฟป่าขนาดใหญ่อันดับสี่ของรัฐออริกอนในรอบ 100 ปี.-สำนักข่าวไทย