เมลเบิร์น/ซิดนีย์ 15 ก.ค. – ออสเตรเลียเร่งค้นหาผู้มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกลุ่มผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 จำนวนหนึ่งในรัฐวิกตอเรียที่เชื่อมโยงกับการระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาในนครซิดนีย์ ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับการระบาดครั้งใหญ่และการใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้น
รัฐวิกตอเรีย ซึ่งมีนครเมลเบิร์นเป็นเมืองเอก รายงานวันนี้ว่า ไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ในชุมชน หลังจากที่เมื่อวานนี้พบผู้ป่วยติดเชื้อ 10 คน ทำให้เกิดความวิตกกังวลว่า การระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาที่พบครั้งแรกในอินเดียและแพร่เชื้อได้อย่างรวดเร็วในนครซิดนีย์ของรัฐนิวเซาท์เวลส์อาจแพร่กระจายมายังรัฐวิกตอเรียและรัฐเซาท์ออสเตรเลีย หลังจากทีมพนักงานขนย้ายเฟอร์นิเจอร์จากนครซิดนีย์มีผลตรวจหาเชื้อโควิดเป็นบวกในขณะปฏิบัติงานในพื้นที่ของทั้งสองรัฐ อย่างไรก็ดี พื้นที่หลายแห่งของนครเมลเบิร์น เช่น ห้างสรรพสินค้า เส้นทางรถขนส่งสาธารณะสองสาย และสถานที่ออกกำลังกาย ถูกประกาศว่าเป็นพื้นที่แพร่ระบาดของเชื้อโควิด และเพิ่มแรงกดดันให้ทางการท้องถิ่นยกระดับมาตรการควบคุมการระบาด โดยที่เมื่อวานนี้ รัฐวิกตอเรียได้สั่งให้ประชาชนในนครเมลเบิร์น ซึ่งมีประชากรกว่า 6 ล้านคน กลับมาสวมหน้ากากอนามัยในอาคารอีกครั้ง
ในขณะเดียวกัน นางแกลดีส เบเรจิกเลียน มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์ กล่าววันนี้ว่า พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 65 คน ลดลงจากวันก่อนที่มี 97 คน ในจำนวนนี้ มีผู้ป่วยติดเชื้อ 28 คนที่เดินทางไปทั่วชุมชนขณะติดเชื้อ แม้ตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อในนครซิดนีย์ยังคงไม่นิ่ง แต่ทางการเริ่มเห็นแนวโน้มของความคงที่และคาดว่าจะไม่เกิดการแพร่ระบาดที่มากไปกว่านี้ ทั้งยังระบุเพิ่มเติมว่า ทางการจะยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ก็ต่อเมื่อพบยอดผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ นครซิดนีย์ตกอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายนและมีกำหนดสิ้นสุดในวันที่ 30 กรกฎาคม โดยมียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมจากการะบาดครั้งล่าสุดกว่า 900 คน และมีผู้เสียชีวิต 2 คน ซึ่งถือเป็นผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด 2 รายแรกของออสเตรเลียในปีนี้ ขณะนี้ ออสเตรเลียมียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมกว่า 31,400 คน และผู้เสียชีวิต 912 คน.-สำนักข่าวไทย