ลอนดอน 23 พ.ย.- ผลการทดลองขนาดใหญ่ชี้ว่า วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดของอังกฤษพัฒนาร่วมกับบริษัทแอสตราเซนเนกาสามารถยับยั้งไม่ให้อาสาสมัครเกิดอาการของโรคโควิด-19 ได้ร้อยละ 70
เว็บไซต์บรรษัทกระจายเสียงอังกฤษ (BBC) รายงานว่า แม้ตัวเลขประสิทธิภาพการป้องกันนี้ต่ำกว่าวัคซีนของบริษัทยาอเมริกันสองแห่งคือไฟเซอร์และโมเดอร์นาที่ป้องกันได้ถึงร้อยละ 95 แต่มีราคาถูกกว่า เก็บรักษาง่ายกว่า สามารถเก็บในอุณหภูมิตู้เย็นธรรมดา จึงสามารถส่งไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้ทั่วถึงกว่า และจะช่วยยับยังการแพร่ระบาดได้อย่างมีนัยสำคัญหากได้รับการอนุมัติ คณะนักวิจัยของออกซ์ฟอร์ดใช้เวลา 10 เดือนพัฒนาวัคซีนนี้ จากปกติที่ต้องใช้เวลาร่วมสิบปี และรัฐบาลสหราชอาณาจักรได้สั่งซื้อล่วงหน้าไว้แล้ว 100 ล้านโดส เพียงพอสำหรับฉีดให้คน 50 ล้านคน คนละ 2 โดส
หัวหน้าคณะวิจัยเผยกับบีบีซีว่า ผลการทดลองระยะสุดท้ายนี้มีอาสาสมัครเข้าร่วมกว่า 20,000 คน ครึ่งหนึ่งอยู่ในสหราชอาณาจักร ที่เหลืออยู่ในบราซิล อาสาสมัคร 30 คนติดโควิดแม้รับวัคซีนไปแล้ว 2 โดส ขณะที่อาสาสมัครรับวัคซีนหลอกติดโควิด 101 คน คิดเป็นสัดส่วนประสิทธิภาพการป้องกันที่ร้อยละ 70 อย่างไรก็ดี ผลการทดลองพบว่า หากรับวัคซีนปริมาณสูงทั้งสองโดส ประสิทธิภาพการป้องกันจะลดลงเหลือร้อยละ 62 แต่หากรับวัคซีนโดสแรกปริมาณต่ำ วัคซีนโดสสองปริมาณสูง ประสิทธิภาพการป้องกันกลับเพิ่มเป็นร้อยละ 90 ซึ่งเป็นเรื่องที่คณะนักวิจัยยังหาเหตุผลไม่ได้ วัคซีนของออกซ์ฟอร์ดและแอสตราเซนเนกานำไวรัสไข้หวัดธรรมดาที่พบในชิมแปนซีมาตัดแต่งพันธุกรรมให้คล้ายไวรัสโคโรนาแต่ไม่ทำให้ติดเชื้อ แล้วฉีดให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายจดจำและหาทางกำจัดเมื่อได้รับเชื้อไวรัสโคโรนาจริง.- สำนักข่าวไทย