วอชิงตัน 14 ส.ค.- คณะเจรจาของสหรัฐและจีนจะหารือกันในวันเสาร์นี้เรื่องข้อตกลงการค้าระยะหรือเฟสหนึ่งที่ลงนามกันไปตั้งแต่เดือนมกราคม ก่อนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 แพร่ระบาด กระทบเศรษฐกิจโลกและทำให้ความสัมพันธ์ของสองประเทศเสื่อมทรามลง
เอเอฟพีระบุว่า รัฐบาลทั้งสองประเทศไม่ได้ยืนยันเรื่องนี้ แต่ข้อตกลงที่ลงนามเมื่อวันที่ 15 มกราคม กำหนดให้ต้องหารือกันทุก 6 เดือนหลังจากมีผลบังคับใช้ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ กำหนดการเจรจาจึงจะตรงกับวันเสาร์นี้ นักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็นจี (ING) บริษัทบริการเงินมองว่า ผลการหารือจะส่งสัญญาณว่าทั้งสองประเทศยังเต็มใจที่จะรักษาข้อตกลงไว้หรือไม่ ซึ่งจะส่งสัญญาณว่าความสัมพันธ์ของสองประเทศจะแย่ลงอีกหรือไม่ ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารเอเอ็นซี (ANZ) ชี้ว่า จนถึงขณะนี้จีนยังนิ่งเฉย ปล่อยให้สหรัฐเป็นฝ่ายรุก ผลการเจรจาวันพรุ่งนี้คงไม่ทำให้จีนเปลี่ยนท่าที เว้นแต่สหรัฐจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ด้านสถาบันเอเชียตะวันออกในสิงคโปร์เห็นว่า ทั้งสองฝ่ายสามารถปรับเป้าหมายในข้อตกลงตามเหตุฉุกเฉินอย่างโรคโควิด-19 ระบาด แต่คงเป็นไปได้ยากในช่วงที่สหรัฐใกล้จะมีการเลือกตั้งในปลายปีนี้ เนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ชูเรื่องจำกัดอิทธิพลจีนเป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง
นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐกล่าวเมื่อเดือนมิถุนายนว่า จีนจะปฏิบัติตามคำมั่นในข้อตกลงการค้าเฟสหนึ่งเรื่องนำเข้าสินค้าอเมริกันเพิ่มขึ้นอีก 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.2 ล้านล้านบาท) ในช่วงสองปีข้างหน้า และสหรัฐหวังว่าจะมีข้อตกลงเฟสสองต่อไป แต่นายจู กวงเย่า มนตรีแห่งรัฐของจีนกล่าวในเดือนเดียวกันว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กระทบต่อข้อตกลงนี้ และความสัมพันธ์ของสองประเทศก็ไม่น่าพอใจอย่างยิ่ง สถาบันเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศปีเตอร์สันในสหรัฐระบุว่า นับจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนจีนซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐต่ำกว่าที่ควรจะเป็นอย่างมาก ตัวเลขของสหรัฐชี้ว่าซื้อเพียงร้อยละ 39 ของเป้าหมายครึ่งปี ส่วนตัวเลขของจีนชี้ว่าซื้อเพียงร้อยละ 48.- สำนักข่าวไทย