ปักกิ่ง 22 พ.ค.- นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง เผยระหว่างเปิดการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติในวันนี้ว่า จะไม่กำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ แต่จะให้ความสำคัญกับการสร้างเสถียรภาพให้แก่จ้างงานและมาตรฐานการดำรงชีวิต เพราะโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ทำให้เกิดความไม่แน่นอนอย่างใหญ่หลวง
เอเอฟพีระบุว่า เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ทางการจีนไม่กำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจประจำปี เพราะปกติแล้วจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าทางการพร้อมทุ่มทรัพยากรเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมากเพียงใด ทั้งนี้ก่อนเกิดโควิด-19 คาดกันว่ารัฐบาลจีนจะตั้งเป้าไว้ที่ร้อยละ 6 เพื่อให้บรรลุพันธกิจทางการเมืองเรื่องเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพี (GDP) ในปีนี้เป็นสองเท่าจากปี 2553 แต่โควิด-19 ทำให้จีดีพีหดตัวถึงร้อยละ 6.8 ในไตรมาสแรกปีนี้ เป้าหมายดังกล่าวจึงยากจะเป็นไปได้ ขณะที่รอยเตอร์ระบุว่า เป็นครั้งแรกที่จีนไม่กำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจนับจากเริ่มกำหนดตั้งแต่ปี 2533
นายกรัฐมนตรีหลี่ใช้เวลาส่วนใหญ่ตลอดการกล่าวเปิดการประชุมนาน 1 ชั่วโมงแจกแจงเรื่องมาตรการรับมือกับโควิด-19 โดยย้ำว่าการระบาดยังไม่สิ้นสุด รัฐบาลมีภารกิจเร่งด่วนที่ต้องส่งเสริมการพัฒนาประเทศ แม้ต้องหมดงบประมาณมากมายกับโรคนี้แต่ก็จำเป็นและคุ้มค่า คาดว่าปีนี้จะขาดดุลการคลังอย่างน้อยร้อยละ 3.6 ของจีดีพี เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขาดดุลร้อยละ 2.8 ของจีดีพี รัฐบาลจะออกพันธบัตรพิเศษมูลค่า 1 ล้านล้านหยวน (ราว 4.47 ล้านล้านบาท) เป็นครั้งแรกในปีนี้ และกำหนดให้รัฐท้องถิ่นออกพันธบัตรพิเศษได้ไม่เกิน 3.75 ล้านล้านหยวน (ราว 16.78 ล้านล้านบาท) เพื่อดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ที่เศรษฐกิจถูกกระทบหนัก อย่างไรก็ดี ขอให้หน่วยงานรัฐทุกระดับลดการใช้จ่าย นำงบประมาณส่วนเกิน ไม่ได้ใช้ หรือยกยอดไปมาจัดสรรใหม่เพื่อใช้ประโยชน์ให้ดีขึ้น
นายกรัฐมนตรีหลี่กล่าวด้วยว่า จะใช้นโยบายการคลังเชิงรุกมากขึ้น ใช้นโยบายการเงินยืดหยุ่นมากขึ้น ลดภาระภาษีและค่าธรรมเนียมให้แก่ธุรกิจ พักชำระหนี้ให้ธุรกิจขนาดกลางและเล็กหรือเอสเอ็มอีออกไปอีก 9 เดือน และขอให้ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่เพิ่มการปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอีอีกกว่าร้อยละ 40 นักเศรษฐศาสตร์ของหัวเป่าทรัสต์ในเซี่ยงไฮ้ตั้งข้อสังเกตว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้พูดถึงมาตรการสำหรับคนทั่วไป สะท้อนว่ารัฐบาลจะไม่ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ตามที่ตลาดคาดหมาย.- สำนักข่าวไทย