ซันติอาโก 19 ต.ค.- ชิลีงดให้บริการเดินรถไฟฟ้าใต้ดินในกรุงซันติอาโกตั้งแต่วันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น หลังจากผู้ประท้วงการขึ้นค่าโดยสารพากันบุกทำลายข้าวของสาธารณะเสียหายเป็นวงกว้างในเมืองหลวงที่มีประชากรอาศัยอยู่เกือบ 6 ล้านคน ล่าสุดประธานาธิบดีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเมืองหลวงแล้ว
ภาพข่าวตามสถานีโทรทัศน์และสื่อสังคมออนไลน์รวมทั้งผู้อยู่ในเหตุการณ์เห็นผู้ประท้วงวางเพลิงทางเข้าสถานีรถไฟฟ้าหลายแห่งและเผารถโดยสารสาธารณะช่วงบ่ายวันศุกร์ ผู้คนออกมารวมตัวกันมากขึ้นเมื่อตกดึก มีคนเคาะหม้อชามและกีดขวางการสัญจรด้วย รถไฟฟ้าใต้ดินแจ้งว่า จะงดให้บริการเดินรถทั้งหมด 136 สถานี ระยะทางราว 140 กิโลเมตรไปจนถึงวันอาทิตย์เพราะเกิดความเสียหายร้ายแรงจนไม่สามารถเดินรถอย่างปลอดภัยได้ ด้านประธานาธิบดีเซบาสเตียน ปินเญรา กล่าวทางสถานีวิทยุแห่งชาติในวันเดียวกันว่า การประท้วงเป็นคนละเรื่องกับการทำลายข้าวของ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การประท้วงแต่เป็นการก่ออาชญากรรม ล่าสุดประธานาธิบดีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเมืองหลวงแล้วตั้งแต่เช้าวันนี้ และจะใช้กฎหมายความมั่นคงพิเศษลงโทษอาชญากรที่ก่อความเสียหายทั่วเมืองหลวง ขณะเดียวกันรัฐบาลก็เห็นใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าโดยสาร และจะเปิดการเจรจาในเร็ววันเพื่อหาทางบรรเทาผลกระทบ
นักเรียนมัธยมปลายและนักศึกษามหาวิทยาลัยในกรุงซันติอาโกเริ่มการประท้วงเมื่อรัฐบาลขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินมากถึง 1.17 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 35.45 บาท) ตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม รัฐบาลให้เหตุผลว่าเป็นเพราะเชื้อเพลิงราคาสูงขึ้นและเงินเปซอ่อนค่าลง รถไฟฟ้าใต้ดินแจ้งว่า มีคนก่อเหตุแล้วไม่ต่ำกว่า 200 ครั้งในช่วง 11 วันที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนนักศึกษากระโดดข้ามสิ่งกีดขวางและบังคับให้ประตูเปิดโดยไม่จ่ายค่าโดยสาร ขณะที่ตำรวจเผยว่า ต้องใช้กระบองและแก๊สน้ำตาในกรณีที่มีคนก่อเหตุรุนแรง รัฐมนตรีคมนาคมแถลงหลังเสร็จสิ้นการหารือกับผู้บริหารรถไฟฟ้าใต้ดินว่า ไม่สามารถยกเลิกการขึ้นค่าโดยสารได้ ปัจจุบันรัฐบาลแบกรับภาระอุดหนุนค่าดำเนินงานรถไฟฟ้าใต้ดินเกือบครึ่งหนึ่งอยู่แล้ว
ชิลีเป็นหนึ่งในประเทศร่ำรวยของลาตินอเมริกาและมีช่องว่างทางรายได้สูงที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคด้วย กระแสไม่พอใจเรื่องค่าครองชีพสูงได้กลายเป็นความขัดแย้งทางการเมือง นำมาซึ่งการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปทุกอย่างตั้งแต่ระบบจัดเก็บภาษี กฎหมายแรงงาน ไปจนถึงระบบบำนาญ.-สำนักข่าวไทย