วอชิงตัน 24 ส.ค.- ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ไฟป่าแอมะซอนที่กำลังโหมไหม้หลายพันจุดอยู่ในขณะนี้แตกต่างจากไฟป่าใหญ่ที่เกิดขึ้นในยุโรปหรืออเมริกาเหนือ เพราะเกิดจากการทำลายป่าของคนเพื่อทำอุตสาหกรรมตัดไม้และเพาะปลูก การที่ไฟป่าเพิ่มขึ้นมากในปีนี้ก็สะท้อนว่ามีการเร่งทำลายป่ามากขึ้น
เจฟฟรีย์ แชมเบอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านป่าฝน ห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอเรนซ์เบิร์กลีย์ในสหรัฐอธิบายว่า คนในเขตร้อนมักใช้วิธีเผาเมื่อต้องทำกิจกรรมเกี่ยวกับที่ดิน เช่น กำจัดขยะทางการเกษตร เหตุผลหนึ่งคือไฟไม่ค่อยลามเข้าไปในป่า เนื่องจากสภาพร้อนชื้นในป่าฝนทำให้ติดไฟยาก และในกรณีที่ไฟเข้าไปในพื้นที่ด้านในของป่าที่ยังเป็นพื้นที่บริสุทธิ์ ไฟก็มักไหม้ในระดับพื้นดินเท่านั้น ไม่ขึ้นไปถึงยอดไม้ในระดับ 30 เมตรขึ้นไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็สร้างความสูญเสียเช่นกัน ปัญหาไฟป่าแอมะซอนขณะนี้เกิดขึ้นเพราะการเผาช่วงฤดูร้อนที่เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนพฤศจิกายน ข้อมูลของทางการบราซิลแจ้งว่าเกิดไฟป่ากว่า 75,000 จุดแล้วนับตั้งแต่ต้นปี
ป่าแอมะซอนแผ่กว้างครอบคลุมประเทศในอเมริกาใต้ถึง 9 ประเทศ พื้นที่ป่าร้อยละ 60 อยู่ในบราซิล การทำลายป่าแอมะซอนเกิดขึ้นตั้งแต่คริสต์ทศวรรษหลังปี 1970 และรุนแรงที่สุดในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษหลังปี 1990 เข้าสู่ต้นคริสต์ทศวรรษหลังปี 2000 เฉพาะปี 2547 ปีเดียวมีการทำลายป่าในบราซิลมากถึง 28,000 ตารางกิโลเมตร การทำลายป่าเริ่มลดลงหลังจากนั้น แต่ได้กลับมาเพิ่มขึ้นอีกในปี 2557 ปีที่แล้วพื้นที่ป่าหายไป 4,640 ตารางกิโลเมตร ส่วนเดือนกรกฎาคมปีนี้เดือนเดียวหายไปกว่า 1,392 ตารางกิโลเมตร.-สำนักข่าวไทย