วอชิงตัน 10 เม.ย.- ศูนย์วิจัยพิวเผยแพร่ผลสำรวจความเห็นชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่กว่า 6,600 คน ช่วงสองสัปดาห์ระหว่างเดือนมกราคมกับเดือนกุมภาพันธ์พบว่า ผู้ตอบส่วนใหญ่เห็นด้วยว่า รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ทำให้การแบ่งแยกสีผิวในสหรัฐเลวร้ายลงกว่าเดิม
ผลสำรวจสรุปผลที่ได้ออกมาเป็นสามหัวข้อใหญ่ หัวข้อแรกคือ ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าทรัมป์ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสีผิวแย่ลง ผู้ตอบร้อยละ 56 มีความเห็นดังกล่าว ขณะที่ร้อยละ 28 คิดว่าทรัมป์ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสีผิวดีขึ้นหรือได้พยายามแล้วแต่ยังไม่ได้ผล แต่หากเป็นอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้ตอบร้อยละ 64 คิดว่าโอบามาทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสีผิวดีขึ้นหรือได้พยายามแล้วแต่ยังไม่ได้ผล และร้อยละ 25 คิดว่าเขาทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสีผิวแย่ลง
หัวข้อที่สองคือ ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เห็นว่าคนแสดงความเห็นเหยียดผิวมากขึ้นนับตั้งแต่ทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดี ผู้ตอบเกือบสองในสามเห็นด้วยว่า คนแสดงความเห็นเหยียดผิวหรือไม่คำนึงถึงความอ่อนไหวด้านเชื้อชาติกันบ่อยขึ้น ร้อยละ 45 มองว่า คนรับได้มากขึ้นกับการแสดงความเห็นแบบนี้ คนดำ คนพูดภาษาสเปน และชาวเดโมแครตเห็นด้วยมากเป็นพิเศษว่า คนแสดงความเห็นแบบนี้กันบ่อยขึ้น
หัวข้อที่สามคือ ประเด็นสีผิวยังคงเป็นเรื่องที่แบ่งขั้วทางการเมืองในสหรัฐอย่างมาก ชาวรีพับลิกันไม่เห็นว่าเรื่องเหยียดผิวและความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติเป็นปัญหาเท่าใดนัก เทียบกับชาวเดโมแครตที่มองว่าเป็นเรื่องใหญ่ นักสำรวจมองว่า แนวโน้มจะยังเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้สังคมอเมริกันเริ่มมีคนผิวขาวลดลงและมีความหลากหลายทางเชื้อชาติมากขึ้น แนวโน้มนี้เป็นสูตรสำเร็จที่จะทำให้เกิดหายนะที่ไม่สิ้นสุด เพราะเมื่อรีพับลิกันเป็นรัฐบาล ชาวเมริกันกลุ่มน้อยก็จะรู้สึกว่าถูกละเลยและกดขี่ แต่เมื่อพรรคเดโมแครตเป็นรัฐบาล ชาวอเมริกันผิวขาวก็จะรู้สึกผิดหวังและหันไปสนับสนุนผู้สมัครม้ามืดอย่างทรัมป์.- สำนักข่าวไทย