วอชิงตัน 12 ม.ค.- การปิดที่ทำการรัฐบาลหรือชัตดาวน์ในสหรัฐที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้ทำสถิตินานที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศแล้ว เนื่องจากพรรคเดโมแครตและประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงตกลงกันไม่ได้เรื่องงบประมาณสร้างกำแพงเม็กซิโก
การชัตดาวน์บางส่วนที่ทำให้พนักงานภาครัฐราว 800,000 คน ไม่ได้รับค่าจ้างไม่ว่าจะพักงานหรือทำงานมาตั้งแต่วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคมจะเข้าสู่วันที่ 22 ในวันเสาร์ที่ 12 มกราคมตามเวลาท้องถิ่น ลบสถิติชัตดาวน์นาน 21 วันในปี 2538-2539 ในสมัยรัฐบาลประธานาธิบดีบิล คลินตัน สภาผู้แทนราษฎรที่มีพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากไม่อนุมัติงบ 5,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 181,911 ล้านบาท) ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการใช้สร้างกำแพงเม็กซิโก เป็นเหตุให้ประธานาธิบดีไม่ลงนามร่างงบประมาณให้แก่หน่วยงานรัฐที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทนี้
ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่หลายครั้งว่า จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติเพื่อใช้งบดังกล่าวโดยไม่ต้องให้สภาอนุมัติ แต่ก็ยอมรับว่าหากประกาศจริงก็ต้องสู้คดีกันไปจนถึงชั้นศาลฎีกา ขณะที่ฝ่ายคัดค้านติงว่า หากประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินจะเป็นการก้าวล่วงรัฐธรรมนูญและเป็นตัวอย่างอันตรายให้แก่ประเด็นถกเถียงอื่น ๆ พรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันเห็นพ้องกันว่า พรมแดนด้านเม็กซิโกเป็นความท้าทายใหญ่ของประเทศ ทั้งเรื่องการค้ายาเสพติดที่มักตามมาด้วยเหตุรุนแรง ไปจนถึงเรื่องคลื่นผู้ขอลี้ภัยและผู้เข้าเมืองยากจน แต่ทั้งสองพรรคแทบไม่ได้อภิปรายถึงความจำเป็นของการสร้างกำแพง เพราะปัจจุบันพรมแดนราวหนึ่งในสามมีรั้วกั้นอยู่แล้ว
รายงานปี 2560 ของสำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐระบุว่า ยาเสพติดส่วนใหญ่ลอบเข้าประเทศผ่านด่านที่มีการตรวจตราแน่นหนา โดยลอบมากับรถส่วนบุคคลที่มีช่องปกปิดมิดชิดหรือปะปนมากับสินค้าถูกกฎหมายบนรถบรรทุก นางแนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรพรรคเดโมแครตมองว่า ควรนำงบประมาณไปสร้างความปลอดภัยพรมแดนด้วยวิธีอื่น ไม่ใช่การสร้างกำแพง แต่ทรัมป์มองว่า เดโมแครตแค่ต้องการตัดคะแนนเขาที่จะลงชิงประธานาธิบดีอีกสมัยในปี พ.ศ. 2563 เท่านั้น.-สำนักข่าวไทย