รอบโลก 7 ธ.ค.-นานาประเทศต่างรุมประณาม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ที่ประกาศรับรองให้กรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงอย่างเป็นทางการของอิสราเอล แทนนครเทลอาวีฟ ท่ามกลางความหวั่นวิตกว่าสถานการณ์ในตะวันออกกลางอาจรุนแรงขึ้น เพราะกรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของทั้งชาวคริสต์ มุสลิม และชาวยิว
ซาอุดีอาระเบียออกแถลงการณ์ระบุว่า คำประกาศของทรัมป์ ไม่ชอบด้วยเหตุผลและไร้ความรับผิดชอบ ขณะที่นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ยกย่องว่านี่คือวันประวัติศาสตร์ของอิสราเอล ซึ่งคำประกาศของทรัมป์ถือเป็นการกลับลำนโยบายของสหรัฐที่ยึดถือปฏิบัติมานานหลายสิบปีในเรื่องสถานภาพของกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งต้องไม่มีใครเป็นเจ้าของจนกว่าคู่กรณีคือ อิสราเอลกับปาเลสไตน์จะบรรลุข้อตกลงสันติภาพกันได้ ซึ่งเรื่องนี้ยังคงกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ และเวลานี้กำลังมีเสียงเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติเปิดการประชุมฉุกเฉินเรื่องนี้ ในช่วงสุดสัปดาห์นี้
โดยปาเลสไตน์ประกาศเสมอมาว่า กรุงเยรูซาเล็มซีกตะวันออกจะต้องเป็นเมืองหลวงของรัฐปาเลสไตน์ในอนาคต และตามข้อตกลงสันติภาพปี 2536 ระบุชัดว่าสถานภาพของกรุงเยรูซาเล็มจะต้องมีการหารือกันในขั้นตอนสุดท้ายของการเจรจาสันติภาพ ซึ่งปัจจุบันทั่วโลกไม่มีประเทศไหนยอมรับว่าเยรูซาเล็ม เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล โดยต่างก็ประจำการสถานทูตของตนไว้ที่นครเทลอาวีฟ ซึ่งอิสราเอลบุกยึดกรุงเยรูซาเล็มซีกตะวันออก รวมถึงเขตเมืองเก่าเอาไว้ได้ตั้งแต่สมัยสงคราม 6 วัน เมื่อปี 2510 แต่นานาชาติไม่ได้ให้การยอมรับ
ขณะที่ทรัมป์ ระบุว่าการรับรองกรุงเยรูซาเล็มของเขาจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสหรัฐ และส่งผลดีต่อกระบวนการสันติภาพ ระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ และเขาสั่งการให้กระทรวงต่างประเทศเตรียมย้ายสถานทูตสหรัฐ จากนครเทลอาวีฟมายังกรุงเยรูซาเล็มแล้ว แต่คงต้องใช้เวลาอีกหลายปี และทรัมป์ยังประกาศด้วยว่าสหรัฐยังคงสนับสนุนการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ที่สามารถอยู่ร่วมกับอิสราเอลได้อย่างผาสุกด้วย แต่ปฏิกิริยาของชาวปาเลสไตน์ต่อท่าทีของทรัมป์กลับเป็นไปในทางตรงข้าม โดยมีการเผารูปภาพของทรัมป์ในเขตเวสต์แบงค์ และระบุว่าสหรัฐไม่ควรเป็นตัวกลางเจรจาแก้ปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลางอีก ขณะที่ทั้งโลกอาหรับ และโลกมุสลิมต่างรุมประนามท่าทีของทรัมป์เช่นเดียวกับชาติยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และอียู ที่ต่างคัดค้านท่าทีของทรัมป์อย่างรุนแรง.-สำนักข่าวไทย