ปักกิ่ง 3 ก.ย.- ผู้นำเกาหลีเหนือร่วมพิธีสวนสนามเนื่องในวันแห่งชัยชนะของจีนที่กรุงปักกิ่งในวันนี้ โดยพา บุตรสาวเดินทางไปด้วย การที่ทายาทผู้ยังเป็นวัยรุ่นปรากฏตัวต่อสาธารณะในต่างประเทศเป็นครั้งแรก โหมกระพือข่าวลือเรื่องเธอได้รับการวางตัวให้เป็นผู้นำหญิงคนแรกของเกาหลีเหนือ
ภาพที่ปรากฏต่อสาธารณะ คือ คิม จู แอ วัย 12-13 ปี เดินตามหลังนายคิม จอง อึน วัย 41-42 ปี ผู้เป็นบิดา ลงจากขบวนรถไฟกันกระสุนที่ใช้เดินทางข้ามคืนจากกรุงเปียงยางของเกาหลีเหนือถึงกรุงปักกิ่งของจีน ทางการเกาหลีเหนือไม่เคยเปิดเผยชื่อหรืออายุของเธอ ขณะที่เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของเกาหลีใต้เชื่อว่า เธอคือบุตรสาวชื่อจู แอตามที่เดนนิส รอดแมน อดีตนักบาสเก็ตบอลชื่อดังชาวอเมริกันอ้างว่า เคยอุ้มเธอตอนเป็นทารกในช่วงที่เขาไปเป็นแขกของผู้นำเกาหลีเหนือในปี 2556
นายไมเคิล แมดเดน ผู้เชี่ยวชาญด้านเกาหลีเหนือของศูนย์สทิมสัน (Stimson Center) ในสหรัฐมองว่า คิม จู แอ คือ ตัวเต็งผู้นำสูงสุดคนต่อไปของเกาหลีเหนือ จากการที่เธอได้ออกงานในต่างประเทศเคียงข้างบิดาที่เป็นผู้นำ ซึ่งเป็นโอกาสที่แม้แต่บิดาของเธอหรืออาสาวอย่างคิม โย จอง ไม่เคยได้รับมาก่อน ขณะที่นายคิม จอง อิล ปู่ของเธอเคยเดินทางไปต่างประเทศหลายครั้งในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 พร้อมกับนายคิม อิล ซุง ปู่ทวดผู้ก่อตั้งประเทศ
ที่ผ่านมาสื่อทางการเกาหลีเหนือไม่เคยเปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับทายาทของนายคิม จอง อึน จนกระทั่งมีการรายงานข่าวคิม จู แอ เป็นครั้งแรก เป็นภาพเธอจูงมือบิดาอย่างสนิทสนมขณะไปเปิดตัวขีปนาวุธทิ้งตัวข้ามทวีปในปี 2565 หลังจากนั้นเธอเริ่มออกงานใหญ่มากขึ้น รวมถึงงานที่สถานทูตรัสเซียในกรุงเปียงยางเมื่อเดือนพฤษภาคมปีนี้
ราเชล มินยอง อี นักวิจัยอีกคนของศูนย์สทิมสันตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงหลายปีมานี้คิม จู แอได้ขยายขอบเขตการปรากฏตัวต่อสาธารณะ จากที่ตั้งทางทหารไปยังงานทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ แต่ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า การที่เธอไปเปิดตัวบนเวทีสากลที่จีนจะหมายความว่าเธอคือผู้สืบทอดอำนาจคนต่อไป วิธีการที่สื่อทางการเกาหลีเหนือรายงานข่าวของเธอในจีนอาจช่วยให้เห็นภาพได้ดีขึ้น
ขณะที่นายฮง มิน นักวิจัยอาวุโส สถาบันเกาหลีเพื่อการรวมชาติในเกาหลีใต้มองต่างออกไปว่า หากเธอได้รับการวางตัวให้เป็นผู้นำคนต่อไปจริง เกาหลีเหนือคงจะทำให้เป็นทางการผ่านกระบวนการอนุมัติภายในของพรรคแรงงานที่เป็นพรรครัฐบาล และต้องไม่ลืมว่าเกาหลีเหนือยึดถือวัฒนธรรมที่ผู้ชายและกองทัพเป็นใหญ่.-814.-สำนักข่าวไทย