คุนหมิง 7 ส.ค. — บทความล่าสุดที่เผยแพร่ในวารสารไซเอนทิฟิก รีพอร์ตส (Scientific Reports) เปิดเผยว่าทีมนักวิจัยจีนค้นพบกลุ่มซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์ชนิดใหม่จากยุคจูราสสิกตอนต้นในอำเภออู่ติ้ง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ซึ่งถือเป็นซากไดโนเสาร์ซอโรโพโดมอร์ฟ (sauropodomorph) ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่พบมาในเอเชียตะวันออก
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อปี 2020 มีการค้นพบซากฟอสซิลของไดโนเสาร์ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนในชั้นหินยุคจูราสสิกตอนต้น บริเวณตำบลว่านเต๋อในอำเภออู่ติ้ง โดยนักวิจัยจากสถาบันบรรพชีวินวิทยาสัตว์มีกระดูกสันหลังและมานุษยวิทยาบรรพกาล (IVPP) พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยาแห่งประเทศจีน มหาวิทยาลัยอวิ๋นหนาน และสำนักทรัพยากรธรรมชาติท้องถิ่น ใช้เวลา 5 ปีในการฟื้นฟูและศึกษาซากฟอสซิลเหล่านี้ พร้อมตั้งชื่อสายพันธุ์ไดโนเสาร์เจ้าของฟอสซิลนี้ว่า “อู่ติ้งหลง”
(ภาพจากสถาบันบรรพชีวินวิทยาสัตว์มีกระดูกสันหลังและมานุษยวิทยาบรรพกาล : ซากฟอสซิลของไดโนเสาร์ซอโรโพโดมอร์ฟ สายพันธุ์อู่ติ้งหลง)
ซากฟอสซิลของอู่ติ้งหลงที่พบประกอบด้วยกระดูกส่วนหัว กระดูกสันหลังบริเวณคอและระดับอก รวมถึงกระดูกขาหน้าที่ยังคงอยู่ในสภาพดี
โหยว ไห่หลู่ นักวิจัยจากสถาบันบรรพชีวินวิทยาฯ ระบุว่าผลการวิเคราะห์ทางสายวิวัฒนาการและชั้นหินพบว่าสายพันธุ์อู่ติ้งหลงเป็นไดโนเสาร์ซอโรโพโดมอร์ฟที่มีการแยกสายวิวัฒนาการเร็วที่สุดและอยู่ในชั้นหินโบราณที่สุดในเอเชียตะวันออกเท่าที่ค้นพบจนถึงปัจจุบัน โดยไดโนเสาร์ชนิดนี้มีชีวิตอยู่ในยุคแรกสุดของยุคจูราสสิกตอนต้น เมื่อราว 200 ล้านปีก่อน
การศึกษาครั้งนี้ได้พัฒนาข้อมูลเชิงโครงสร้างลักษณะทางสายวิวัฒนาการแบบใหม่ขึ้น ซึ่งเป็นการต่อยอดจากงานวิจัยก่อนหน้านี้

(ภาพจากสถาบันบรรพชีวินวิทยาสัตว์มีกระดูกสันหลังและมานุษยวิทยาบรรพกาล : ภาพถ่ายและภาพวาดเส้นโครงกระดูกหัวกะโหลกของไดโนเสาร์ซอโรโพโดมอร์ฟ สายพันธุ์อู่ติ้งหลง)
เมื่อเทียบกับไดโนเสาร์ซอโรโพโดมอร์ฟสายพันธุ์อื่นๆ ที่เคยพบในเอเชียตะวันออก อู่ติ้งหลงมีขนาดเล็กกว่า เคลือบฟันเรียบกว่า กระดูกส่วนไหล่เรียวยาวกว่า สัดส่วนความยาวของกระดูกปลายแขนต่อกระดูกต้นแขนสูงกว่า และนิ้วยาวกว่า ซึ่งบ่งชี้ว่ามันน่าจะเป็นไดโนเสาร์ที่เดินด้วยสองขา
การค้นพบสายพันธุ์ใหม่นี้ช่วยเสริมหลักฐานว่ากลุ่มไดโนเสาร์ซอโรโพโดมอร์ฟในพื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เป็นไดโนเสาร์ที่มีชนิดหลากหลายและมีลักษณะทางสัณฐานวิทยาแตกต่างกันมากที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลกในยุคจูราสสิกตอนต้น.-813.-สำนักข่าวไทย