ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศเปิดตัวหนังสือในวาระ 50 ปีทองแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน

กรุงเทพฯ 4 ก.ค. – ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ (ISC) จัดงานเปิดตัวหนังสือ 2 เล่มสำคัญต่อประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-จีน ในวาระครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน


ดร.อนุสนธิ์ ชินวรรโณ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ (ISC) กล่าวในพิธีเปิดงานว่า ในวาระที่ไทยและจีนสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตครบ 50 ปี ถือเป็นโอกาสเหมาะสมที่จะจัดทำและเผยแพร่หนังสือ ที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเล่มแรก คือ หนังสือเรื่อง “การเจรจาสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน 2516-2518: ร่างรายงาน โดย เตช บุนนาค” และเล่มที่ 2 คือ “ไทยมองจีน”

ทั้งนี้ ดร.เตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย และประธานกรรมการที่ปรึกษา ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ ผู้เขียนบันทึกต้นเรื่องอันเป็นที่มาของหนังสือ “การเจรจาสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน 2516-2518: ร่างรายงาน โดย เตช บุนนาค” เปิดเผยว่า หนังสือเล่มดังกล่าวเป็นการรวบรวมบันทึกที่ได้เคยจดไว้ รวมถึงข้อความในหนังสือราชการ สมัยดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ พ.ศ. 2515 ซึ่งขณะนั้นได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดำเนินการประสานการเจรจาตั้งแต่ยุคเริ่มต้น จนนำไปสู่วันที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีไทย นำคณะเดินทางไปยังกรุงปักกิ่ง เพื่อลงนามในแถลงการณ์ร่วมสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับนายโจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 โดยหนังสือเล่มนี้ มีเนื้อหาเกี่ยวกับลำดับเหตุการณ์ รวมทั้งรายละเอียดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างฝ่ายไทยกับฝ่ายจีน โดยเฉพาะการสนทนาอย่างไม่เป็นทางการระหว่าง ดร.เตช บุนนาค หัวหน้ากองเอเชียตะวันออกสมัยนั้น กับนาย Cheng Jui-Sheng ผู้อำนวยการกองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่กรุงโตเกียว อันเป็นที่มาของคำว่า “การทูตริมระเบียงหรือ Corridor Diplomacy” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การเจรจาเพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์ไทย – จีน ระหว่างกระทรวงการต่างประเทศทั้งสอง


ขณะที่ ศาสตราจารย์ ดร.สิทธิพล เครือรัฐติกาล ประธานสภาอาจารย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวแนะนำหนังสือ “ไทยมองจีน” ว่า ในฐานะที่เป็นบรรณาธิการหนังสือ “ไทยมองจีน” ได้เห็นถึงแนวคิด 2 ประเด็นหลักจากหนังสือเล่มดังกล่าว คือ ภูมิหลังของความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนรวมทั้งบางประเด็นที่ถูกมองข้าม กับ โอกาสและความท้าทายของไทย ในความสัมพันธ์ไทย – จีน ในช่วง 50 ปีนับจากนี้ไป

ในโอกาสนี้ ศูนย์ศึกษาการต่างประเทศ (ISC) ยังได้จัดการเสวนาในหัวข้อ “มองไปข้างหน้า: อนาคตความสัมพันธ์ไทย-จีน” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับทิศทาง โอกาส และความท้าทายในการดำเนินความสัมพันธ์ไทย-จีน จากมุมมองของภาควิชาการ ภาคธุรกิจ และสื่อมวลชน โดยคณะผู้อภิปรายประกอบด้วย รศ.ดร.กรพนัช ตั้งเขื่อนขันธ์ อาจารย์ประจำหน่วยวิชาศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์จีน นางสาวกุลธิรัตน์ ภควัชร์ไกรเลิศ นายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย และนางสาววัชรินทร์ เศรษฐกุดั่น ผู้อำนวยการฝ่ายข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวไทย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)

รศ.ดร.กรพนัช ตั้งเขื่อนขันธ์ ได้ให้ข้อมูลด้านการเผยแพร่ Soft Power ของจีน ตั้งแต่ยุคก่อนซึ่งดำเนินการผ่านกลไกองค์กรของรัฐ เช่น สถาบันขงจื๊อ และโครงการให้ความช่วยเหลือการให้ทุนการศึกษา มาจนถึงยุคปัจจุบันที่จีนพยายามเผยแพร่วัฒนธรรมจีน ด้วยการสร้างเรื่องเล่าของจีน และผลิตเนื้อหาวัฒนธรรมร่วมสมัย (Pop Culture) เพื่อให้เยาวชนคนรุ่นใหม่เข้าถึงได้ผ่านการเสพสื่อดิจิทัลแพลตฟอร์มที่เป็นของจีน เช่น ซีรีส์จีน ละครแนวซีรีส์วาย ละครแนวรักโรแมนติก นิยายจีนแฟนตาซี ฯลฯ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสของไทยที่จะใช้ประโยชน์จากความร่วมมือกับแพลตฟอร์มของจีน และผู้ผลิตจีน ในการผลิตและส่งออกคอนเทนท์ของไทยผ่านแพลตฟอร์มจีนไปยังทั่วโลกได้ ทั้งยังจะมีผลพลอยได้ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ และแฟนคลับชาวจีนให้เข้ามาไทย กรณีที่ผู้ประกอบการบันเทิงของจีน ใช้ไทยเป็นสถานจัดงานบันเทิงใหญ่ ๆ ได้


ด้าน นางสาวกุลธิรัตน์ ภควัชร์ไกรเลิศ นายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย ได้ให้คำแนะนำผู้ประกอบการไทยว่า ยังมีโอกาสอีกมากในตลาดสินค้าออนไลน์ของจีน ขอเพียงสินค้าที่จะนำไปจำหน่าย ต้องเป็นสินค้าที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ที่สำคัญยังแนะนำว่า ผู้ประกอบการไทยไม่ควรกังวลเรื่องการสื่อสารด้วยภาษาจีนจนไม่กล้าก้าวเข้าไปลงทุนในจีน เนื่องจากปัจจุบันมีหลายตัวช่วยที่จะอำนวยความสะดวกในการสื่อสารกับผู้ค้าและผู้บริโภคชาวจีนได้ เช่น ล่าม และแอปพลิเคชันแปลภาษา นอกจากนี้ ยังชี้ข้อดีของการค้าออนไลน์ในแพลตฟอร์มจีนว่า บางแพลตฟอร์ม เช่น TikTok หรือ Douyin มีนโยบายลดภาษีให้สินค้าจากประเทศไทย ขณะที่หน่วยงานของรัฐบาลไทย ก็กำลังดำเนินนโยบายกรอบความร่วมมือต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกการค้าออนไลน์กับจีนให้มากขึ้น

ขณะที่นางสาววัชรินทร์ เศรษฐกุดั่น ผู้อำนวยฝ่ายข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวไทย บมจ.อสมท ให้ความเห็นในฐานะสื่อที่มีความร่วมมือกับองค์กรสื่อ และหน่วยงานของทางการจีน ว่า ท่ามกลางปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สื่อควรทำหน้าที่อย่างสร้างสรรค์และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ไม่เฉพาะแต่ความสัมพันธ์ไทย-จีน แต่รวมถึงไทยกับประเทศอื่น ๆ ด้วย นอกจากนี้ ควรถึงเวลาแล้วที่สื่อไทย กับหน่วยงานของทางการไทย ภาครัฐและเอกชน จะต้องร่วมมือกันเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับไทย-จีน และประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านช่องทางแพลตฟอร์มของจีน เพื่อส่งต่อข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องไปยังผู้รับสารชาวจีน เพื่อคลายความวิตกกังวลที่จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย.-810.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ปะทะแล้ว บริเวณปราสาทตาเมือน หลังฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิง

สุรินทร์ 24 ก.ค.-ทบ.รายงานเหตุการณ์ปะทะบริเวณพื้นที่ปราสาทตาเมือน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ หลังฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิง เมื่อเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เวลา 07.35 น. หน่วยเฉพาะกิจที่ดูแลพื้นที่ปราสาทตาเมือนรายงานว่า ได้ยินเสียงอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ของฝ่ายกัมพูชาบินวนอยู่บริเวณหน้าปราสาทตาเมือนธม แม้ไม่สามารถตรวจพบตัวอากาศยานได้ด้วยสายตา แต่สามารถได้ยินเสียงอย่างชัดเจน ต่อมาฝ่ายกัมพูชาได้นำอาวุธเข้าสู่ที่ตั้งบริเวณด้านหน้าแนวลวดหนาม และพบกำลังพลกัมพูชาจำนวน 6 นาย พร้อมอาวุธครบมือรวมทั้ง RPG เดินเข้ามาใกล้แนวลวดหนามบริเวณด้านหน้าฐานปฏิบัติการของไทย ฝ่ายไทยได้ใช้การตะโกนเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและยกระดับสถานการณ์ โดยฝ่ายไทยเฝ้าระวังตลอดแนวชายแดนเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาประมาณ 08.20 น. ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงเข้ามาบริเวณตรงข้ามฐานปฏิบัติการทางทิศตะวันออกของปราสาทตาเมือน ในระยะประมาณ 200 เมตร ขณะนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกองทัพบกกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากมีข้อมูลเพิ่มเติมจะรายงานความคืบหน้าให้ทราบต่อไป.-สำนักข่าวไทย

ปะทะทหารไทย-เขมร ลาม 6 พื้นที่ กำลังพลเจ็บ 2 นาย

กทม. 24 ก.ค.-ด่วน! เหตุปะทะทหารไทย-เขมร ลาม 6 พื้นที่ ทบ. เผยทหารกัมพูชา เปิดแนวรบเพิ่มที่ ผามออีแดง เขาพระวิหาร ส่วนทหารไทยงัดปืนใหญ่ตอบโต้ กำลังพลเจ็บ 2 นาย เมื่อวันที่ 24 ก.ค.68 ที่กองบัญชาการกองทัพบก พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก ระบุเพิ่มเติมว่า เวลา 0920 น. กองทัพบกพบการปะทะเพิ่มเติมตลอดแนวพื้นที่ผามออีแดง ปราสาทเขาพระวิหาร พบฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากใช้อาวุธทุกชนิดและ BM21 ส่วนฝ่ายไทยเข้าปะทะตามแผนพร้อมตอบโต้ปืนใหญ่สนาม 09.20 น. เจ้าหน้าที่ทหารบาดเจ็บ 2 นาย จากอาวุธยิงสนับสนุน ในพื้นที่บริเวณกลุ่มปราสาทตาเมือน จ.สุรินทร์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพื้นที่ที่มีการปะทะจำนวน 6 พื้นที่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ช่องบก เขาพระวิหาร(ห้วยตามาเรีย/ภูมะเขือ) ช่องอ่านม้า ช่องจอม.-313.-สำนักข่าวไทย

ผบ.ทบ.นำคณะลงช่องอานม้า พรุ่งนี้ จ่อใช้แผนจักรพงษ์ภูวนาถ

23 ก.ค.- “ผบ.ทบ.” สั่ง ทภ.2-ทภ.1 เตรียมพร้อม “แผนจักรพงษ์ภูวนาถ” รับมือชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมยกคณะลงพื้นที่บัญชาการ วันที่ 23 ก.ค.68 พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผข.ทบ.) ได้สั่งการไปยังกองทัพภาคที่ 2 และกองทัพภาคที่1 รับผิดชอบพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชา เตรียมใช้แผนจักรพงษ์ภูวนาถ แก้ไขปัญหาพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชาหลัง กำลังพลของกองทัพบกไทยจากชุดลาดตระเวน พัน.ร.14 ประสบเหตุเหยียบกับระเบิดบริเวณห้วยบอน ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี พิกัด VA 950911 ซึ่งเป็นพื้นที่ปฏิบัติการตามแนวชายแดน โดยส่งผลให้ จ่าสิบเอกพิชิตชัย บุญโคราช ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการสูญเสียขาขวา และอยู่ระหว่างการส่งตัวรักษาต่อ ณ โรงพยาบาลน้ำยืน โดยให้พร้อมปฏิบัติหน้าที่ทันที เมื่อสั่งการ ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (24 ก.ค.) พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก พลโท ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ รองเสธ ทบ. พลโทบุญสินพาดกลาง มทภ.2 […]

“บิ๊กต่าย” อยากเคลียร์ใจครอบครัว “น้องเมย” ปมคู่กรณีได้เป็น ตร.

ตร. 23 ก.ค. – ผบ.ตร. อยากเคลียร์ใจครอบครัว “น้องเมย” ปมคู่กรณีได้เป็นตำรวจใต้บังคับบัญชาหลังเกิดเหตุ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 12 จังหวัดปราจีนบุรี อ่านคำพิพากษากรณีที่ ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตปริศนา หลังจากถูกธำรงวินัยโดยรุ่นพี่ทหาร 2 นาย ภายในโรงเรียนเตรียมทหาร เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 ซึ่งหนึ่งในรุ่นพี่ที่เป็นจำเลย ปัจจุบันรับราชการตำรวจในภาคอีสาน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่า ตนได้รับรายงานเรื่องนี้แล้ว สิ่งที่อยากจะสื่อสารในประเด็นที่ 1 ตนอยากพบพ่อและแม่ของน้องเมยเป็นการส่วนตัว เพื่อจะได้พูดคุยให้เข้าใจในการปฏิบัติของตำรวจ ซึ่งเป็นประเด็นที่ 2 กรณีที่คู่กรณีเป็นตำรวจ เราต้องมองย้อนไปในขณะที่เกิดเหตุ มองถอยหลังกลับไป คู่กรณีรายดังกล่าวไม่ได้อยู่ในสถานะตำรวจ ฉะนั้นแล้วตามกฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจ ปี 2565 การดำเนินการทางวินัยจะดำเนินได้เฉพาะกับผู้ที่อยู่ในสถานะตำรวจ ซึ่งขณะนั้นคู่กรณีถือว่าอยู่ภายใต้กองบัญชาการกองทัพไทย ส่วนการพิจารณาทางวินัยตำรวจของคู่กรณี ตนได้สั่งให้จเรตำรวจแห่งชาติ นำไปประกอบการพิจารณา เนื่องจากวินัยและอาญาจะสามารถเชื่อมกันได้ในข้อเท็จจริงบางส่วน […]

ข่าวแนะนำ

เข้าสู่วันที่ 2 กัมพูชาเปิดฉากตั้งแต่เช้ามืด ที่ปราสาทตาเมือนธม

สุรินทร์ 25 ก.ค.-เข้าสู่วันที่ 2 เหตุปะทะไทย-กัมพูชา เริ่มเปิดฉากยิงกันตั้งแต่เช้ามืด บริเวณปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขณะนี้เสียงยังดังต่อเนื่อง ก่อนขยายการสู้รบไปตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอีสานใต้ อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นพื้นที่แรกที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนด้านปราสาทตาเมือนครับ เช้ามืดวันนี้ ราวตี 5 ครึ่ง ก็เริ่มปะทะกันอีก ขณะนี้ก็มีเสียงดังอย่างต่อเนื่อง เส้นทางจากอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เข้าสู่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แม้สายแล้ว ก็มีรถสัญจรไปมาค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยการสู้รบ โดยอำเภอพนมดงรักเป็นหนึ่งใน 4 อำเภอ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศให้ผู้ที่ไม่มีความจำเป็นเข้าพื้นที่ร่วมกับอำเภอกาบเชิง บัวเชดและสังขะ โดยตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา ในพื้นที่ตามแนวชายแดนได้ยินเสียงการปะทะด้วยกระสุนปืนใหญ่ดังอย่างต่อเนื่อง ผู้นำหมู่บ้านบันทึกสถิติเฉพาะฝั่งไทยตอบโต้เกินกว่า 100 ลูกแล้ว บ้านหนองแรด ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก ที่จรวดหลายลำกล้อง BM 21 ตกเยอะสุด 10 ลูก วานนี้โดยรอบหมู่บ้าน โชคดีไม่ลงบ้านเรือน มีกระจกแตกเล็กน้อยจากแรงอัดลูกจรวดเท่านั้น วันนี้ ยังมีชาวบ้านอยู่นับร้อยคนหลบอยู่ในหลุมหลบภัย จากทั้งหมด […]

สหรัฐเรียกร้องไทย-กัมพูชาหยุดยิงทันที

วอชิงตัน 25 ก.ค. – สหรัฐเรียกร้องไทยและกัมพูชาหยุดยิงทันที หลังความขัดแย้งตามแนวชายแดนทวีความรุนแรง จนเกิดความสูญเสียต่อพลเรือน ส่วนจีนส่งเสริมให้เจรจาสันติภาพ ยันยันวางตัวเป็นกลางในความขัดแย้งระหว่างระหว่างสองชาติพันธมิตรของจีนในอาเซียน โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐกล่าวระหว่างแถลงข่าวเมื่อวานนี้ว่า สหรัฐรู้สึกกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ความรุนแรงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ขยายวงกว้าง และแสดงความเสียใจต่อรายงานความสูญเสียของพลเรือน พร้อมเรียกร้องให้หยุดยิงทันที พร้อมปกป้องชีวิตพลเรือนและแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติ ด้านโฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีน แถลงในกรุงปักกิ่งเมื่อวานนี้ว่า ทั้งไทยและกัมพูชาต่างก็เป็นมิตรประเทศของจีน และเป็นสมาชิกที่สำคัญของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน มิตรภาพอันดีระหว่างเพื่อนบ้านและการจัดการความแตกต่างอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับผลประโยชน์พื้นฐานและผลประโยชน์ระยะยาวของทั้งสองฝ่าย จีนมีความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ปัจจุบัน และหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างถูกต้องผ่านการเจรจาและการปรึกษาหารือ จีนจะยังคงส่งเสริมการเจรจาสันติภาพ กรณีพิพาทชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาด้วยจุดยืนที่ยุติธรรมและเที่ยงธรรม เขากล่าวอีกว่า จากมุมมองของผลประโยชน์ร่วมกันและความต้องการของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค จีนยึดมั่นในจุดยืนที่ยุติธรรมและเป็นกลาง และยังคงส่งเสริมการเจรจาสันติภาพในแบบของตนเองต่อไป เพื่อมีบทบาทเชิงสร้างสรรค์ในการลดระดับและลดความตึงเครียดลง ขณะที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ออกแถลงการณ์ แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา พร้อมเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายระมัดระวังต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่อาจได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง รักษาช่องทางการสื่อสารให้เปิดกว้าง และพยายามลดความตึงเครียดลงโดยเร็ว แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ ระบุว่า ฟิลิปปินส์ ไม่ได้มีจุดยืนฝักใฝ่ฝ่ายใดในข้อพิพาทนี้ แต่ขอย้ำถึงความสำคัญของการคงไว้ซึ่งการสื่อสารที่เปิดกว้าง และการลดระดับความรุนแรงของสถานการณ์ พร้อมแสดงความหวังว่า ทั้งประเทศไทยและกัมพูชาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้โดยสันติ ใช้กฎหมายระหว่างประเทศเป็นกรอบในการเจรจาและยุติข้อพิพาทด้านสถานทูตต่างชาติหลายแห่ง ออกคำเตือนประชาชนของตัวเองให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เช่น สถานทูตของสหรัฐในประเทศไทย เตือนพลเมืองของตัวเองที่อาจจะทำงานหรืออาศัยอยู่ในจังหวัดที่ติดกับชายแดน ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ในประเทศไทยอย่างเคร่งครัด ขณะที่เว็บไซต์สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า สำนักงานต่างประเทศ […]

เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน

ศรีสะเกษ 24 ก.ค. – บรรยากาศคืนแรกที่ศูนย์อพยพฯ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ประชาชนต้องละทิ้งบ้านเรือนมาพักอาศัยชั่วคราว จากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นี่เป็นบรรยากาศค่ำคืนแรกที่ประชาชนในเขต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ต้องออกมาพักอาศัยนอกบ้านเรือน ตั้งแต่เกิดเหตุกัมพูชายิงจรวดเข้าใส่เขตพักอาศัยของพลเรือน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ ทำให้ตลอดทั้งวัน อ.กันทรลักษ์ มีการอพยพประชาชนแล้วมากกว่า 41,000 คน กระจายไปตามจุดต่างๆ โดยจุดนี้เป็นจุดที่น่าจะมีผู้อพยพมากที่สุด เพราะใกล้แนวชายแดนที่อยู่ในระยะปลอดภัยมากที่สุด คือ ประมาณ 40 กิโลเมตร จากแนวชายแดน มีประชาชนเข้ามาพักอาศัย 4,865 คน และยังมีจุดอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกระจายกันไป ผลจากสถานการณ์ตึงเครียดและพลเรือนตกเป็นเป้าของการโจมตี ทำให้หลายคนอยู่ในอาการเครียดและกังวล เจ้าหน้าที่ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้กำลังใจเป็นระยะ รวมทั้งให้บริการยาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นเบื้องต้น พร้อมกันนี้ได้ย้ำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ฝากแจ้งประชาชนที่ยังลังเลไม่ยอมอพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นห่วงทรัพย์สินหรือสัตว์เลี้ยง ว่า ขณะนี้มีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิดทุกหมู่บ้าน จึงขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือ และออกมาจากพื้นที่เสี่ยงตามจุดนัดหมาย เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว. – สำนักข่าวไทย

น้ำท่วมน่านหนักสุดเป็นประวัติการณ์

น่าน 24 ก.ค. – ยังน่าห่วง น้ำท่วมเขตเศรษฐกิจและตัวเมืองน่าน หนักสุดเป็นประวัติการณ์ บางจุดท่วมสูงถึงชั้น 2 ของบ้าน ประชาชนติดอยู่ในบ้านกลางน้ำ ยิ่งค่ำยิ่งลำบาก .-สำนักข่าวไทย