กรุงเทพฯ 1 ก.ค.- สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร และนายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา ซึ่งเป็นตระกูลการเมืองของไทย กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงทางกฎหมายพร้อมกัน
รอยเตอร์ซึ่งเป็นสื่อสากลที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในอังกฤษรายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญของไทยมีคำสั่งในวันนี้ ให้ น.ส.แพรทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย หลังจากศาลรับคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาไทย 36 คนที่ยื่นถอดถอน น.ส.แพรทองธาร กรณีคลิปเสียงสนทนาเมื่อวันที่ 15 มิถุนายนกับนายฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาเรื่องข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
รอยเตอร์ระบุว่า การที่ น.ส.แพรทองธารเผชิญวิกฤตหลังจากรับตำแหน่งได้เพียง 10 เดือน สะท้อนว่าพรรคเพื่อไทยที่เคยทรงอิทธิพลในการเลือกตั้งของไทยมาตั้งแต่ปี 2544 มีอำนาจเสื่อมถอยลง รัฐบาลแพรทองธารต้องพยายามกอบกู้เศรษฐกิจที่ซบเซา ควบคู่ไปกับคะแนนนิยมที่ร่วงลงอย่างหนัก ขณะที่นายทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรีวัย 75 ปี ผู้เป็นกำลังขับเคลื่อนรัฐบาลของบุตรสาวได้ไปขึ้นศาลอาญาเป็นครั้งแรกในวันนี้ ในคดีที่ถูกฟ้องข้อหาดูหมิ่นสถาบันฯ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี จากการให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติในปี 2558 ขณะลี้ภัยในต่างประเทศ นอกจากนี้เขายังมีคดีที่ศาลฎีกาจะไต่สวนในเดือนนี้เรื่องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจเป็นเวลา 6 เดือน และได้รับการพักโทษเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีก่อนโดยไม่ถูกจำคุกในคดีใช้อำนาจโดยมิชอบและผลประโยชน์ทับซ้อน

ด้านอัลจาซีรา สื่อของโลกอาหรับที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในกาตาร์ รายงานว่า การเมืองไทยตกอยู่ท่ามกลางการต่อสู้กันมานานหลายปี ระหว่างกลุ่มอนุรักษนิยม กลุ่มสนับสนุนทหาร กลุ่มชนชั้นสูงสนับสนุนราชวงศ์ และตระกูลชินวัตร อัลจาซีรารายงานก่อนศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ น.ส.แพรทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่ว่า คำสั่งศาลอาจทำให้ไทยเข้าสู่ความยุ่งเหยิงในช่วงที่กำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจซบเซาและการถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีศุลกากรอัตราใหม่ อัลจาซีรามองว่า น.ส.แพรทองธาร วัย 38 ปี ถูกสั่นคลอนจนอำนาจอ่อนแออย่างหนักจากเรื่องคลิปเสียง ขณะที่บิดาผู้เป็นมหาเศรษฐีที่ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไทย 2 สมัยในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 2000 ไปขึ้นศาลอาญาข้อหาดูหมิ่นสถาบันฯ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 15 ปี คาดว่า การพิจารณาคดีจะดำเนินไปหลายสัปดาห์ และจะไม่ทราบผลคำตัดสินอย่างน้อย 1 เดือนหลังจากนั้น
บลูมเบิร์ก สื่อด้านธุรกิจรายใหญ่ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสหรัฐ รายงานว่า ข่าว น.ส.แพร่ทองธารถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าและผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของไทยปรับลดลง สวนทางกับตลาดหลักทรัพย์ของไทยซึ่งอยู่ในกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานแย่ที่สุดในโลกในปีนี้ ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่า คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญจะช่วยลดความตึงเครียดทางการเมืองไทยเรื่องจะมีการประท้วงครั้งใหม่ อย่างไรก็ดี บลูมเบิร์กมองว่า คำสั่งนี้อาจไม่เป็นผลดีต่อความรู้สึกที่นักลงทุนมีต่อสินทรัพย์ของไทย ซึ่งถูกปรับน้ำหนักลงอยู่แล้ว จากการที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงไปถึงระดับต่ำในยุคหลังผ่านพ้นโควิด และความไม่แน่นอนทางการเมืองจะกระทบต่อการเจรจากับสหรัฐเรื่องภาษีศุลกากรที่จะพ้นเส้นตายการพักใช้เป็นเวลา 90 วัน ในสัปดาห์หน้า.-814.-สำนักข่าวไทย