ปักกิ่ง 24 มิ.ย. – 9 อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปักกิ่ง ร่วมกับอดีตเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เผยมุมมองความสัมพันธ์ไทย-จีน จากอดีตถึงอนาคต ตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งในระดับทวิภาคี ระดับภูมิภาค และระดับโลก
ในเวทีการเสวนาหัวข้อ “มิตรภาพไทย-จีน : ประสบการณ์และแรงบันดาลใจ” ซึ่งจัดโดยสถาบันการต่างประเทศ ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ในวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ที่กรุงปักกิ่ง เป็นการแลกเปลี่ยนความเห็นกันระหว่างเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ และนักวิชาการด้านการต่างประเทศของจีน กับคณะอดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปักกิ่ง ซึ่งประกอบด้วย นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย และอดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปักกิ่ง พ.ศ. 2529-2533 นายดอน ปรมัตถ์วินัย นายจุลพงศ์ โนนศรีชัย นายธีรกุล นิยม นายรัฐกิจ มานะทัต นายเปี่ยมศักดิ์ มิลินทจินดา นายวิบูลย์ คูสกุล นายพิริยะ เข็มพล และนายอรรถยุทธ์ ศรีสมุทร รวมทั้งนายฉัตรชัย วิริยเวชกุล เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปักกิ่งคนปัจจุบัน
อดีตเอกอัครราชทูตเตช บุนนาค ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนสำคัญอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 กล่าวว่า ไทยและจีน มีความสัมพันธ์กันมานับพันปี แต่การตัดสินใจที่จะสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง และความผาสุขของประชาชนทั้งสองประเทศ รวมถึงสันติสุขของภูมิภาค ไทยมองว่าจีนเป็นหุ้นส่วนที่ไว้ใจได้ และที่ผ่านมาต่างก็มีบทบาทนำร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ ในวาระที่ปีนี้ครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี จึงเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทั้ง 2 ฝ่าย จะได้มีโอกาสทบทวนความสำเร็จทั้งในอดีต สร้างบทเรียนสำหรับอนาคต และมุ่งมองไปข้างหน้าเพื่อเปิดศักราชใหม่

ขณะที่นายจุลพงศ์ โนนศรีชัย ประธานที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปักกิ่ง สะท้อนความเห็นที่มีต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติของโลก โดยเฉพาะความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐ ซึ่งเกิดจากมาตรการภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อันส่งผลกระทบไปทั่วโลก ว่าในฐานะที่ไทยมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นทั้งกับจีนและสหรัฐมาเนิ่นนาน และพึ่งพาเศรษฐกิจทั้งด้านการค้า การลงทุน จากทั้ง 2 ประเทศอย่างมาก จึงประสงค์ที่จะเห็นทิศทางของจีนว่าจะก้าวไปทางใดในอนาคต และประสงค์จะเห็นทางออกในการร่วมมือระหว่างไทยกับจีน ซึ่งไม่ได้มีนัยเพื่อที่จะต้านสหรัฐ แต่เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นร่วมกัน และเพื่อผลประโยชน์ของไทยและจีน เนื่องจากการดำเนินการของจีนเพื่อเตรียมรับสภาพการณ์ย่อมจะส่งผลต่อโลกและต่อไทย โดยยกกลไกและกรอบความร่วมมือในภูมิภาค เช่น RCEP หรือความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค รวมทั้งสร้างความเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศโลกใต้ เป็นแนวทางของความร่วมมือในมิติใหม่
ด้านบรรดาอดีตเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ต่างเห็นพ้องกันว่าความไว้เนื้อเชื่อใจกันและกัน ทั้งด้านการเมือง ยุทธศาสตร์ และการเคารพซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ขณะที่ ดร.โจว ฟางเย่ (Dr. Zhou Fangye) นักวิชาการประจำสถาบันแห่งชาติด้านยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ ของสถาบันวิจัยทางวิชาการสาขาสังคมศาสตร์ ให้แง่คิดที่น่าสนใจว่า ปัจจุบันคนจีนเริ่มสนใจ และเข้าใจสถานการณ์ของประเทศไทยมากขึ้น โดยรับรู้ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ แต่ก็ยังพบว่า มีความท้าทายที่ไทยและจีนต้องร่วมกันแก้ไข เช่น การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่เผยแพร่ในสื่อออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนได้ข้อมูลอย่างถูกต้อง และป้องกันการแสดงความเห็นที่เกินขอบเขต
ทั้งนี้ อดีตเอกอัครราชทูตทั้งฝ่ายจีนและไทย ต่างก็มีความเห็นว่าความสัมพันธ์ในระดับประชาชน รวมทั้งการศึกษาของคนรุ่นใหม่ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการสืบสานเจตนารมณ์ด้านการส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-จีนในอนาคต.-810.-สำนักข่าวไทย
