วอชิงตัน 22 พ.ค. – ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ เปิดคลิปและกล่าวอ้างผิดๆ ต่อหน้าสื่อมวลชน เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนผิวขาวและการยึดที่ดินในแอฟริกาใต้ ระหว่างให้การต้อนรับประธานาธิบดีซีริล รามาโฟซา ของแอฟริกาใต้ ที่ทำเนียบขาว
ประธานาธิบดีรามาโฟซาเดินทางมาเยือนสหรัฐเมื่อวานนี้ หวังปรับความสัมพันธ์กับสหรัฐ หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ยกเลิกความช่วยเหลือแอฟริกาใต้ครั้งใหญ่ โดยได้นำกลุ่มนักกอล์ฟชาวแอฟริกาใต้ที่เป็นคนผิวขาวร่วมคณะมาด้วยและกล่าวว่าต้องการหารือเรื่องการค้ากับสหรัฐ ซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของแอฟริกาใต้ และเรียกเก็บภาษีศุลกากรรายประเทศกับแอฟริกาใต้ในอัตราร้อยละ 30
ประธานาธิบดีทรัมป์ให้การต้อนรับคณะผู้นำแอฟริกาใต้ที่ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว โดยให้สื่อมวลชนเข้ามารายงานข่าวด้วย จากนั้นได้แจกแจงความกังวลที่มีต่อการปฏิบัติไม่ดีต่อชาวแอฟริกันที่เป็นคนผิวขาว เขาได้ขอให้เจ้าหน้าที่หรี่ไฟลงเพื่อเปิดคลิปวิดีโอบนจอโทรทัศน์ ที่ปกติแล้วไม่ได้ติดตั้งอยู่ในห้องทำงานรูปไข่ ผู้นำสหรัฐกล่าวอ้างว่า ภาพในคลิปเป็นหลุมศพคนผิวขาวและแกนนำฝ่ายค้านในแอฟริกาใต้ พร้อมกับพลิกเปิดกองเอกสารที่เขาอ้างว่าเป็นรายงานข่าวในเรื่องที่เขาพูดถึง นอกจากนี้ยังกล่าวว่า ชาวแอฟริกาใต้หนีออกนอกประเทศมาสหรัฐ เพราะถูกรังแก ถูกยึดที่ดิน และถูกเข่นฆ่า โดยมีนายอีลอน มัสก์ ที่ปรึกษาของนายทรัมป์ซึ่งเกิดในแอฟริกาใต้อยู่ในห้องทำงานรูปไข่ในเวลานั้นด้วย

ด้านประธานาธิบดีรามาโฟซาไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ในขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์พูดและมีการเปิดคลิป โดยกล่าวว่า ไม่เคยเห็นคลิปนี้มาก่อนและจะตรวจสอบข้อเท็จจริงในภายหลัง เขายอมว่าแอฟริกาใต้มีการก่ออาชญากรรม แต่เหยื่อส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำ พร้อมกับอ้างถึงอดีตประธานาธิบดีเนลสัน แมนเดลา ของแอฟริกาใต้ว่าเป็นผู้สร้างสันติภาพ ผู้นำแอฟริกาใต้พยายามรักษาบรรยากาศการสนทนาด้วยการกล่าวชมการตกแต่งห้องทำงานรูปไข่ของผู้นำสหรัฐ และหวังว่าในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ผู้นำสหรัฐจะไปร่วมพิธีที่สหรัฐจะรับมอบตำแหน่งประธานกลุ่มจี 20 (G20) ปี 2569 ต่อจากแอฟริกาใต้
อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีรามาโฟซายืนยันอย่างหนักแน่นระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในภายหลังว่า ไม่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในแอฟริกาใต้ และกล่าวถึงการหารือกับสหรัฐว่า ทั้ง 2 ประเทศเห็นพ้องว่าจะหารือเรื่องแร่ธาตุสำคัญในแอฟริกาใต้ ขณะที่รัฐมนตรีการค้าแอฟริกาใต้กล่าวว่า รัฐบาลได้ยื่นข้อเสนอด้านการค้าและการลงทุนที่ครอบคลุมเรื่องการซื้อก๊าซธรรมชาติเหลวหรือแอลเอ็นจี (LNG) จากสหรัฐด้วย
รอยเตอร์ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุการณ์ฉีกหน้าผู้นำประเทศครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์และรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ของสหรัฐปะทะคารมอย่างเผ็ดร้อนต่อหน้าสื่อมวลชนในห้องเดียวกันนี้กับประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครนที่มาเยือนเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ จึงอาจทำให้ผู้นำต่างชาติรายต่อไปต้องคิดทบทวนให้ดี หากจะรับคำเชิญไปเยือนทำเนียบขาว.-814.-สำนักข่าวไทย