เดลี 11 พ.ค.- สื่ออังกฤษรายงานอ้างการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญถึงสาเหตุที่ทำให้อินเดียและปากีสถานตกลงหยุดยิงทันที หลังจากที่ปะทะกันมาตลอด 4 วัน จนจุดกระแสวิตกเรื่องสถานการณ์จะบานปลาย
เว็บไซต์บรรษัทแพร่ภาพกระจายเสียงอังกฤษหรือบีบีซี (BBC) อ้างผู้เชี่ยวชาญว่า คณะเจรจาของสหรัฐ ช่องทางการทูตหลังบ้าน และผู้มีบทบาทระดับภูมิภาคล้วนอยู่เบื้องหลังการดึง 2 ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ออกมาจากปากเหวการทำสงคราม หลังจากที่ทั้ง 2 ฝ่ายกล่าวหากันว่า ยิงขีปนาวุธโจมตีที่ตั้งทางทหารของอีกฝ่าย และอ้างว่าสร้างความเสียหายอย่างหนักให้แก่อีกฝ่าย
ทันวี มาดาน นักวิจัยหญิงของสถาบันบรุกกิงส์ในสหรัฐชี้ว่า การที่นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐโทรศัพท์หานายอาซิม มูนีร์ ผู้บัญชาการกองทัพบกปากีสถานเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เธอระบุว่า แม้ว่ายังไม่มีข้อมูลมากนักว่า ผู้มีบทบาทระดับสากลได้ดำเนินการอย่างไร แต่ชัดเจนว่า ในช่วง 3 วันที่ผ่านมามีอย่างน้อย 3 ประเทศ คือ สหรัฐ สหราชอาณาจักร และซาอุดีอาระเบีย ร่วมกันคลี่คลายความตึงเครียด สิ่งที่น่าคิด คือ หากนายรูบิโอโทรศัพท์เร็วกว่านี้ หลังจากที่อินเดียปิดฉากถล่มพื้นที่ในปากีสถานเมื่อวันที่7 พฤษภาคม อาจช่วยป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามได้

นายอีจาซ เฮเดอร์ นักวิเคราะห์ด้านกลาโหมในปากีสถานมองว่า สหรัฐยังคงแสดงบทบาทคนกลางคลี่คลายความตึงเครียดระหว่างอินเดียกับปากีสถานเหมือนที่เป็นมา แต่ครั้งนี้แตกต่างตรงที่ สหรัฐวางเฉยในตอนต้น รอดูสถานการณ์ดำเนินไปก่อน แล้วจึงเข้ามาแทรกแซง ผู้เชี่ยวชาญในปากีสถานหลายคนมองว่า ในขณะที่สถานการณ์เริ่มเขม็งเกลียว ปากีสถานได้ส่งสัญญาณพร้อมกัน 2 อย่าง คือ การโจมตีตอบโต้ และการปล่อยข่าวประชุมหน่วยงานที่ตัดสินใจเรื่องการใช้อาวุธนิวเคลียร์ จึงเป็นจังหวะที่สหรัฐเข้ามา
ขณะเดียวกันความสัมพันธ์ส่วนตัวอันดีระหว่างนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีของอินเดียกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ ประกอบกับเดิมพันทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ของสหรัฐในภูมิภาคนี้ มีส่วนช่วยให้รัฐบาลสหรัฐมีแต้มต่อทางการทูตที่จะกดดันให้อินเดียและปากีสถานหาทางคลี่คลายความตึงเครียด นักการทูตในอินเดียหลายคนชี้ว่า ครั้งนี้มี 3 สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นคล้ายกับเมื่อครั้งที่อินเดียและปากีสถานเผชิญหน้ากันนาน 1 เดือน 6 วัน บริเวณพรมแดนแคชเมียร์ในปี 2562 ประกอบด้วยแรงกดดันจากสหรัฐและอังกฤษ การเป็นคนกลางของซาอุดีอาระเบียที่ส่งรัฐมนตรีไปเยือนทั้ง 2 ประเทศ และการมีช่องทางติตด่อโดยตรงระหว่างคณะที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของทั้ง2 ประเทศ.-814.-สำนักข่าวไทย