สหรัฐ 22 เม.ย.-สหรัฐฯ ประกาศกำหนดอัตราภาษีนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์ จาก 4 ประเทศในอาเซียน คือ กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย และไทย ที่ต้องเสียภาษีในการนำเข้าผลิตภัณฑ์พลังงานแสงอาทิตย์ด้วยอัตราภาษีที่สูงถึง 3,521% ลงโทษบริษัทจีนที่เปิดโรงงานใน 4 ประเทศข้างต้น และส่งออกสินค้าสู่สหรัฐฯ ในราคาต่ำกว่าต้นทุนและขายในราคาที่ต่ำกว่าตลาดทั่วไป
จากกรณีเมื่อ 1 ปีที่แล้ว กลุ่มผู้ร้องเรียนที่ใช้ชื่อว่า American Alliance for Solar Manufacturing Trade Committee ซึ่งประกอบด้วยบริษัทและกลุ่มผู้ประกอบการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ในสหรัฐฯ ได้กล่าวหาบริษัทผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ของจีนที่มีโรงงานอยู่ในมาเลเซีย กัมพูชา เวียดนาม และไทย ว่ามีการส่งออกสินค้าสู่สหรัฐฯ ในราคาต่ำกว่าต้นทุนและขายในราคาที่ต่ำกว่าตลาดทั่วไป ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อสินค้าและตลาดอเมริกัน เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันในราคาที่ถูกขนาดนั้นได้
ล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ประกาศขึ้นอัตราภาษีนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์จากทั้ง 4 ประเทศ ซึ่งรวมแล้วสูงกว่า 3,521% ประกอบด้วยมาเลเซีย ที่บริษัท Jinko Solar จากจีนเปิดโรงงาน ถูกเก็บภาษีรวม 41.56% ไทย ที่มีบริษัท Trina Solar ของจีนเปิดโรงงาน ถูกเก็บภาษี 375.19% เวียดนาม ถูกเรียกเก็บภาษี 395.9% และกัมพูชา ถูกเรียกเก็บภาษี 3,521% เนื่องจากผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ในประเทศไม่ให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการสอบสวนคดี
ทนายความของกลุ่มผู้ผลิตในสหรัฐฯ กล่าวว่า มั่นใจว่ามาตรการนี้จะสามารถจัดการกับพฤติกรรมทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของบริษัทจีนที่มีโรงงานใน 4 ประเทศนี้ ซึ่งทำร้ายอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ของสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน
ทั้งนี้ สหรัฐฯ นําเข้าชิ้นส่วนแผงโซลาร์เซลล์มูลค่า 12,900 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว จากทั้ง 4 ประเทศที่จะอยู่ภายใต้หน้าที่ใหม่ คิดเป็นประมาณ 77% ซึ่งผลกระทบจากแผนขึ้นภาษีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้การนำเข้าจากทั้ง 4 ประเทศในปีนี้ลดน้อยลงและเป็นเพียงเศษเสี้ยวของปีที่แล้ว ในขณะที่การจัดส่งแผงโซลาร์เซลล์จากประเทศอื่น ๆ เช่น สปป.ลาว และอินโดนีเซียเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน คาดว่าอินโดนีเซียจะมีกำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทต่างชาติมากกว่า 20 กิกะวัตต์ภายในกลางปีนี้ เพิ่มขึ้นจากเพียง 1 กิกะวัตต์เมื่อสิ้นปี 2022
ทั้งนี้ แม้ว่าการประกาศนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ จะทำให้ห่วงโซ่อุปทานและตลาดทั่วโลกพลิกผันและแปรปรวนอย่างหนัก แต่การตัดสินใจนี้กลับเปรียบเหมือนชัยชนะของสหรัฐฯ เพราะการขึ้นภาษีจะส่งผลให้อุตสาหกรรมในประเทศมีโอกาสเติบโตมากขึ้น เนื่องจากไม่ต้องแข่งกับบริษัทต่างประเทศที่นำเข้าสินค้าราคาถูกกว่าต้นทุนอีกต่อไป.-สำนักข่าวไทย