30 ม.ค.- DeepSeek สร้างปรากฎการณ์สะเทือนโลกอย่างแท้จริง เขย่าตลาดวงการไอที มูลค่าหุ้นในหลายตลาดหายวับไปรวมกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะหุ้น Nvidia ที่มีมูลค่าสูงอันดับ 1 โลก ราคาตกฮวบ 17 เปอร์เซ็นต์ในการซื้อขายวันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2568 จนหล่นมาเป็นอันดับ 3
News-Now-Next อาสาไล่เรียงเหตุการณ์และผลสะท้อนต่อทั้งเศรษฐกิจและการเมืองโลก เพราะเหตุใด บริการแชทบอทปัญญาประดิษฐ์น้องใหม่ต้นทุนต่ำสัญชาติจีนอย่าง DeepSeek ขึ้นมาเบียดเจ้าใหญ่เจ้าเดิมอย่างชั่วข้ามคืน และ ถือเป็นการลูบคมสหรัฐที่เพิ่งมีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ครองอำนาจประกาศนโยบายผลักดัน AI หรือไม่ และสหรัฐจะสูญเสียความเป็นมหาอำนาจด้าน AI ให้กับจีนแล้วหรือ
DeepSeek ครองใจผู้ใช้อย่างไฟลามทุ่ง
หลังจากเปิดตัวในสหรัฐเมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2568 และ อัพเดทเวอร์ชั่นล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ในเวลาไม่นาน DeepSeek กลายเป็นแอปพลิเคชันฟรีที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดบนแอปสโตร์ แรงดึงดูดแรก คือ ไม่มีค่าใช้จ่าย ตามมาด้วยคุณภาพประสิทธิภาพก็ทัดเทียมเทียบเคียง แชทบอทชั้นนำอย่าง ChatGPT แต่ต่างตรงที่พัฒนาขึ้นด้วยเม็ดเงินต่ำกว่าเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น กล่าวคือประมาณ 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 200 ล้านบาท ต่างจาก AI สัญชาติอเมริกัน ที่ต้องทุมเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในการพัฒนา
กำเนิด DeepSeek ณ เมืองหางโจว
DeepSeek พัฒนาขึ้นโดยบริษัทสตาร์ทอัพ ในหางโจว ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน เปิดตัวในจีนเมื่อเดือน ก.ค. 2566 ผู้ก่อตั้งและมีบทบาทหลักในการพัฒนาเป็นชายหนุ่มวัย 40 ปี
เหลียง เวินเฟิง ใช้ความรู้จากการศึกษาวิศวกรรมสารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์ จากมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง และระดมทุนสร้างคลังชิปรุ่น Nvidia A100 ไว้ราว 50,000 ชิ้น แต่เมื่อปัจจุบันชิปรุ่นนี้ถูกห้ามส่งออกไปยังประเทศจีนแล้ว เพราะความขัดแย้งกับสหรัฐ เขาจึงใช้เคล็ดลับพิเศษด้วยการจับคู่ชิป Nvidia ที่มีอยู่ 50,000 นั้นกับชิปที่ราคาถูกกว่าและพลังการประมวลผลน้อยกว่า แต่ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจยิ่ง
เส้นทางการงานของนายเหลียง ที่ทำให้เขาแตกต่างจากผู้นำบิ้กเทคในซิลิคอนวัลเลย์ของสหรัฐอย่างเห็นได้ชัดคือ พื้นฐานด้านการเงิน เขาเคยเป็นซีอีโอ ของกองทุนที่ชื่อ High-Flyer แล้วนำ AI เข้าไปช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการลงทุน และยังสามารถระดมทุนเพื่อพัฒนา DeepSeek ขึ้นมา
เขาเคยเผยถึงแนวคิดอันเป็นแรงบันดาลใจว่า จีนไม่อาจเป็นผู้ตามในอุตสาหกรรม AI ตลอดไปได้ เมื่อถามถึงปฏิกริยาของยักษ์ใหญ่ไอทีต่อ DeepSake เขากล่าวว่า ผู้นำ AI ในสหรัฐน่าจะประหลาดใจที่เห็นบริษัทของเขากลายเป็นผู้เล่นในฐานะผู้คิดค้น ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ตามในวงการอีกต่อไปแล้ว
นั่นอาจเป็นเหตุผลสำคัญที่เมื่อกลางเดือนมกราคม เขาได้ประชุมหารือร่วมกับผู้นำและผู้เชี่ยวชาญแวดวงไอที โดยมีนายหลี่ เฉียงนายกรัฐมนตรีจีน นั่งหัวโต้ะ
ความภาคภูมิใจของแดนมังกร
ความสำเร็จของ DeepSeek ย่อมส่งผลดีต่อรัฐบาลจีน ที่กำลังเผชิญหน้ากับตะวันตก และบ่อยครั้งที่ถูกมองว่าเป็นผู้ตามที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีชั้นสูง แรงสั่นสะเทือนของ DeepSeek ต่อสหรัฐและทั้งโลก ย่อมลบภาพลักษณ์นั้น พร้อมไปกับสำแดงแสนยานุภาพทางเทคโนโลยี
สำหรับชาวจีน ข่าวนี้เป็นข่าวใหญ่ที่สร้างรอยยิ้มและความภาคภูมิใจที่ผลงานของจีนด้าน AI กลายเป็นผลงานโดดเด่นระดับโลก
DeepSeek จากหางโจวสู่แอปยอดนิยม
เมื่อผู้ใช้ดาวน์โหลด DeepSeek จากแอปสโตร์ของแอปเปิล และใช้บริการผ่านออนไลน์แล้ว ก็สามารถใช้บริการฟรี ดีจนต้องบอกต่อและกลายเป็นแอปที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุด ถึงขั้นระบบรวน ๆ และลงทะเบียนติดขัดเพราะจำนวนคนใช้สูงอยู่บ้าง
ในการใช้งาน แอปพลิเคชั่นแชทบอท DeepSeek กลายเป็นผู้ช่วยเอไออันทรงพลังซึ่งทำงานคล้ายกับ ChatGPT ด้วยคำอธิบายในแอปสโตร์ที่ระบุว่า ออกแบบมาเพื่อ “ตอบคำถามของคุณและปรับปรุงชีวิตของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ”
ผู้ใช้บางคน ได้รับประสบการณ์ดีกว่าและแตกต่างจากยักษ์ใหญ่เสียด้วยซ้ำ คนหนึ่งใช้งานด้านการเขียนเผยว่า DeepSeek “สร้างงานเขียนที่สะท้อนอัตลักษณ์ตัวตนของผู้ใช้มากขึ้น”
หลักการทำงาน Generative AI
ทั้ง ChatGPT และ DeepSeek คือ แชทบอทที่ใช้ระบบ Generative AI หรือปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ ระบบนี้ใช้อัลกอริธึมการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning Algorithms) เพื่อสร้างเนื้อหาใหม่จากข้อมูลมหาศาลและหลากหลายที่ป้อนเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ ให้ได้ผลลัพธ์ใหม่ที่ลึกล้ำ และอาจเหนือขอบเขตที่มนุษย์จะคิดได้ ในหลากหลายรูปแบบ ข้อความ ภาพ เสียง วีดีโอ สร้างโค้ด การออกแบบ และดนตรี
ผู้ใช้จึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากมายในชีวิตประจำวัน หาคำตอบให้กับคำถามที่มี สำหรับการทำงานและการศึกษา
ต้นทุนต่ำแต่เทียบชั้นบริษัทอเมริกัน
คำถามใหญ่ๆ ในวงการ AI ของสหรัฐเกิดขึ้นทันที ทำไมจีนจึงพัฒนา DeepSeek ได้ด้วยเงินทุนเพียงเศษเสี้ยวของสหรัฐ แล้วจะแข่งขันปัจจัยต้นทุนได้อย่างไร ทำไมจึงต้องสิ้นเปลืองเงินทุนและทรัพยากรขนาดนั้น และที่สำคัญ สหรัฐจะสูญเสียความเป็นผู้นำด้านปัญญาประดิษฐ์ให้กับจีนแล้วหรือ
คำถามเหล่านี้ผุดขึ้นในใจนักลงทุนด้วย จนทำให้เกิดสภาพตลาดทุนในวันที่ 27 ม.ค. 2568 ดัชนี NASDAQ ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของวอลล์สตรีทร่วงลงมากกว่า 3% โดยมีการเทขายหุ้นผู้ผลิตชิปและศูนย์ข้อมูลทั่วโลก
ราคาหุ้นของ Nvidia บริษัทสัญชาติอเมริกันที่ผลิตชิปทรงพลังที่สามารถประมวลผลเอไอได้ ร่วงลง 17% ภายในเวลาเพียงวันเดียว สูญเสียมูลค่าตลาดไปเกือบ 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 20 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นการลดต่ำมากที่สุดในวันเดียวในประวัติศาสตร์สหรัฐ จากที่เพิ่งขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ที่วัดจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด Nvidia ร่วงลงมาอยู่อันดับที่ 3 รองจาก Apple และ Microsoft
นักลงทุนย่อมเปรียบเทียบ วัดจากความสำเร็จของ DeepSeek ที่ไปลดทอนประสิทธิถาพของ Nvidia ด้วย สรุปได้ว่า งบประมาณมากกว่าและชิปที่มีสมรรถนะระดับสูงสุด แต่กลับถูกเทียบชั้นได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ และ ชิปของ Nvidia จึงไม่ใช่กุญแจหลักที่จะพัฒนา AI แล้ว
เขย่านโยบาย AI รัฐบาลทรัมป์ 2.0
สำหรับนายโดนัลด์ ทรัมป์ เรื่องนี้ยิ่งสะเทือนยิ่งหนัก เพราะเขาเพิ่งสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 20 มกราคม วันที่ DeepSeek เปิดตัวเวอร์ชั่นล่าสุดนั่นเอง ตั้งแต่หาเสียงเลือกตั้งแล้วที่เขาชูนโยบายผลักดัน AI ไม่กี่วันหลังทำหน้าที่ประธานาธิบดียังได้เปิดตัวแผนลงทุนมูลค่ามหาศาลถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างศูนย์ AI ในสหรัฐ โดยมี SoftBank ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นและ OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT เป็นผู้นำ
ปฏิกริยาของนายทรัมป์ หลังได้รับรายงาน DeepSeek เขย่าตลาดหุ้นนั้น นายทรัมป์แสดงท่าทีใจดีสู้เสือ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเครื่องกระตุ้นบริษัทอเมริกันให้เร่งพัฒนาและเร่งมือในการแข่งขัน เพราะสหรัฐมีนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำอยู่มากมาย
การที่จีนพัฒนาเทคโนโลยีได้เร็ว และ ใช้ต้นทุนต่ำกว่าเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดี ควรปฏิบัติตามเพราะไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมายมหาศาลก็สามารถสร้างผลงานที่ดีได้เช่นกัน แล้วนายทรัมป์ก็ทิ้งท้ายไว้ว่า “ต้องแข่งขันให้เป็นผู้ชนะให้ได้”
DeepSeek ทำให้เห็นชัดเจนว่า การกำหนดข้อห้ามส่งออกชิปประสิทธิภาพสูงไปจีนนั้น สกัดกั้นจีนไม่ได้เลย ในการผงาดขึ้นในวงการเทคโนโลยี รัฐบาลจีน โดยนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนได้ประกาศมาก่อนนี้แล้วให้ AI เป็นวาระสำคัญของชาติ ส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านภาคการผลิต จากสินค้าเดิมๆ อย่างเครื่องนุ่งห่มหรือเฟอร์นิเจอร์ หันไปมุ่งเน้นรถไฟฟ้า ชิปและ AI นั่นเอง
จุดอ่อน DeepSeek
แน่นอนว่า เมื่อเป็นสัญชาติจีน อุปสรรคใหญ่คือ กฎเหล็กของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ การควบคุมตรวจสอบเนื้อหาที่มีความละเอียดอ่อนทางการเมือง จนทำให้หลายคนลองทดสอบด้วยการยิงคำถามเกี่ยวกับจตุรัสเทียนอันเหมิน และ ไต้หวันกันไม่หยุด
DeepSeek จึงต้องมีชั้นระดับข้อมูลเพื่อเซ็นเซอร์และกำหนดขอบเขตของข้อมูลบางจำพวก
บิ๊กเทคจีนในเงื้อมมือรัฐบาล?
การผงาดขึ้นมาของ DeepSeek ย่อมทำให้เกิดการจับตาว่าจะต้องประสบชะตากรรมเดียวกับบิ้กเทคสัญชาติจีน อย่าง Huawei หรือ TikTok หรือไม่ DeepSeek จะเผชิญข้อกล่าวหาจากชาติตะวันตกว่าโยงใยกับรัฐบาลจีนด้วยหรือเปล่า ข้อมูลผู้ใช้จะกลายไปเป็นเครื่องมือของรัฐบาลเพื่อประโยชน์ด้านอื่นใดหรือไม่
เจ้าหน้าที่ของออสเตรเลียและสหรัฐ เริ่มตั้งคำถามดังๆ แบบนี้แล้ว อย่างเช่นโฆษกทำเนียบขาวป้ายแดง แคโรไลน์ ลีวิท เผยว่าเจ้าหน้าที่ความมั่นคงกำลังศึกษาอย่างละเอียดถึงผลกระทบด้านความมั่นคง ส่วนกองทัพเรือสหรัฐ ออกคำสั่งห้ามบุคลากรและกำลังพลไม่ให้ใช้ Deepsake ด้วยเหตุผลว่าเสี่ยงกระทบความมั่นคง
ดังนั้นการจัดการข้อมูลและความเป็นส่วนตัวจะเป็นโจทก์ใหญ่สำหรับ DeepSeek
Final Thoughts: DeepSeek เขย่าระเบียบ (AI) โลก
บุคคลภายนอกอย่างเราๆ ต้องอยากรู้ว่าในการพบกับนายกรัฐมนตรีจีนที่กรุงปักกิ่ง เมื่อกลางเดือนมกราคมนั้น นายเหลียง ผู้ก่อตั้ง DeepSeek พูดคุยอะไรกันบ้าง นอกเหนือจากการพัฒนา ศักยภาพ AI แล้ว ยังมีวาระอื่นๆ รวมไปถึงยุทธศาสตร์การแข่งขันในระดับโลกด้วยหรือไม่ จะเป็นเสมือนการระดมขุนพลเพื่อทำศึก AI ด้วยหรือไม่
ที่แน่ ๆ ความสำเร็จของ DeepSeek ย่อมเข้าตาผู้มีอำนาจในพรรคคอมมิวนิสต์จีน จากการที่สร้างแต้มต่อให้กับจีนมากโขและอาจเป็นอาวุธหนักในการต่อสู้ในวงการ AI โลก และ ทำให้สังเวียนการแข่งขันดุเดือดยิ่งขึ้นไปอีก
ในเวลาเดียวกัน หากมองโลกในแง่ดี DeepSeek เป็นผู้ชี้ทางให้ปรับเปลี่ยนการพัฒนา AI จากที่ต้องใช้เม็ดเงินมหาศาล ทุ่มทุนสร้างชิปพลังสูง หันไปเป็นโมเดลการพัฒนาที่ใช้ทุนน้อยกว่าหลายสิบเท่า.-812(814).-สำนักข่าวไทย