วอชิงตัน 14 พ.ย. – นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้เริ่มการคัดเลือกตัวบุคคลมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหน่วยงานของรัฐบาลหลังจากที่เขาได้ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน โดยเขามีกำหนดจะเข้าพิธีสาบานตนเพื่อเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคมปีหน้า
รายชื่อรัฐมนตรีสำคัญ ๆ ที่นายทรัมป์ได้ประกาศออกมาแล้วและผู้ที่ได้รับการคาดหมายว่า น่าจะได้มาร่วมรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ที่ประกาศออกมาแล้วมีดังนี้
ซูซี ไวลส์ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบขาว
ซูซี ไวลส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสองผู้จัดการการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง จะมารับตำแหน่งหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบขาว ซึ่งทำหน้าที่เปรียบเสมือนเป็นแม่บ้านประจำทำเนียบขาว แม้ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องมุมมองทางการเมืองของเธอ แต่ไวลส์ วัย 67 ปี จัดการหาเสียงให้กับนายทรัมป์ได้อย่างประสบความสำเร็จและมีประสิทธิภาพ บรรดาผู้สนับสนุนต่างหวังว่า เธอจะช่วยปลูกฝังความมีระเบียบและมีวินัยที่มักจะขาดหายไปในช่วง 4 ปีที่นายทรัมป์เป็นประธานาธิบดี โดยเขาเปลี่ยนตัวผู้ที่มาทำหน้าที่หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบขาวหลายต่อหลายคน
ทอม โฮแมน “บอร์เดอร์ ซาร์” หรือ ซาร์ด้านชายแดน
ทอม โฮแมน ซึ่งรักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรในช่วงที่นายทรัมป์เป็นผู้นำสหรัฐ จะมารับผิดชอบเกี่ยวกับกิจการชายแดนทั้งหมดของสหรัฐ นายทรัมป์รณรงค์หาเสียงด้วยการให้สัญญาว่าจะกวาดล้างผู้ที่เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายและประกาศจะเนรเทศหมู่บุคคลเหล่านี้ นายโฮแมน ซึ่งมีอายุ 62 ปี กล่าวว่า เขาจะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกกับการเนรเทศผู้ที่เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งถือว่าเป็นภัยต่อความปลอดภัยและความมั่นคง
เอลลีส สเตฟานิก ทูตสหรัฐประจำ ยูเอ็น
เอลลีส สเตฟานิก สมาฃิกสภาผู้แทนราษฎรหญิงของพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนตัวยงของเขา ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำองค์การสหประฃาชาติ
สเตฟานิก นักการเมืองวัย 40 ปี เป็นผู้แทนฯ จากรัฐนิวยอร์ค โดยทรัมป์กล่าวว่า เธอเป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่ง อดทนและเป็นนักสู้ที่เฉลียวฉลาดเพื่อแนวทาง ให้อเมริกาต้องมาก่อน
ลี เซลดิน ผู้อำนวยการสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม
ลี เซลดิน อดีตสมาฃิกรัฐสภาจากรัฐนิวยอร์ค จะทำหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อม หรือ อีพีเอ
เซลดิน อายุ 44 ปี เป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับนายทรัมป์ เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาระหว่างปี 2015-2023 .ในปี 2022 เขาลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ค แต่พ่ายแพ้ให้กับเคธี โฮฃุล เจ้าของตำแหน่งจากพรรคเดโมแครต
นายทรัมป์สัญญาว่า เขาจะปฎิรูปนโยบายด้านพลังงานใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป้าหมายคือการใช้น้ำมันที่มีอยู่ในประเทศมากเป็นประวัติการณ์และการผลิตแก๊สให้ได้ประโยชน์สูงสุด ด้วยการยกเลิกระเบียบบางประการและเร่งการออกใบอนุญาตการผลิตน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ ซึ่งในฐานะผู้อำนวยการอีพีเอ นายเซลดินจะมีบทบาทสำคัญในการนำนโยบายนี้ของนายทรัมป์ไปปฎิบัติ
มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ
วุฒิสมาชิกมาร์โก รูบิโอ วัย 53 ปี จากรัฐฟลอริดา จะได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้นายรูบิโอ นักการเมืองที่เกิดในรัฐฟลอริดา เป็นคนเชื้อสายละตินคนแรกที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ
นายรูบิโอ ถือว่าเป็นผู้ที่มีแนวทางสายเหยี่ยวมากทีสุดที่อยู่ในลิสต์รายฃื่อที่เข้าข่ายจะมาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศของรัฐบาลทรัมป์ ที่ผ่านมา นายรูบิโอ สนับสนุนการใช้นโยบายต่างประเทศที่แข็งกร้าวกับปรปักษ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ของสหรัฐ ทั้ง จีน อิหร่านและคิวบา แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เขามีท่าทีอ่อนลงบ้างเพื่อให้เป็นไปตามความคิดเห็นของนายทรัมป์
ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ
ไมค์ วอลซ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครีพับลิกัน จะเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ นายวอลซ์ เคยเป็นนายทหารยศพันเอกในกองกำลังพิทักษ์ดินแดนแห่งชาติ และสมาชิกในหน่วยรบพิเศษกรีนเบเรต์ (Green Baret) ของกองทัพบกสหรัฐ
วอลซ์ วัย 50 ปี เป็นหนึ่งในผู้ที่ภักดีต่อนายทรัมป์มาก ๆ เขาเคยกล่าววิพากษ์วิจารณ์จีน ที่ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและส่งเสียงสนับสนุนว่า สหรัฐจำเป็นต้องมีความพร้อมสำหรับความขัดแย้งในภูมิภาค ตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ เป็นตำแหน่งที่ทรงอิทธิพลและไม่ต้องขอความเห็นชอบจากวุฒิสภาเรื่องตัวบุคคลที่จะดำรงตำแหน่ง วอลซ์จะมีหน้าที่บรรยายสรุปในประเด็นเรื่องความมั่นคงแห่งชาติและประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ นายวอลซ์ เคยโจมตีรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน เรื่องการถอนทหารอเมริกันออกจากอัฟกานิสถานในปี 2021 แต่เขากล่าวชื่นชมแนวคิดนโยบายต่างประเทศของนายทรัมป์
คริสตี โนเอม รัฐมนตรีความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ
คริสตี โนเอม ผู้ว่าการรัฐเซาท์ดาโกตา จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ
โนเอม วัย 52 ปี เคยถูกมองว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมาเป็นผู้สมัครคู่หูกับนายทรัมป์ในการชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ในขณะนี้ เธอกำลังดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐเซาท์ดาโกตาเป็นสมัยที่ 2 เป็นเวลา 4 ปี หลังจากที่เธอได้รับเลือกตั้งอย่างถล่มทลายในปี 2022 เธอเป็นที่รู้จักทั่วประเทศหลังจากที่เธอปฎิเสธที่จะออกคำสั่งบังคับให้ประชาชนทั่วทั้งรัฐต้องสวมหน้ากากอนามัยในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ตำแหน่งรัฐมนตรีความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ มีหน้าที่รับผิดชอบในหลากหลายมาก ตั้งแต่การปกป้องชายแดน การเข้าเมือง ไปจนถึงการรับมือกับภัยพิบัติ และหน่วยงานลับของรัฐ หรือ “ยูเอสซีเครตเซอร์วิส” (U.S. Secret Service) ที่มีหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยให้กับบุคคลสำคัญของประเทศ
พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหม
นายพีท เฮกเซธ นักวิเคราะห์ข่าวทางสถานีโทรทัศน์ ฟอกซ์ นิวส์ จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม
นายทรัมป์ กล่าวในแถลงการณ์ว่า นายเฮกเซธ เป็นคนอดทน เฉลียวฉลาดและเป็นผู้ที่มีความเชื่ออย่าแท้จริงในแนวทาง อเมริกาต้องมาก่อน หรือ “อเมริกา เฟิร์สต์” เมื่อเขามาดำรงตำแหนงนี้ ศัตรูของอเมริกาจะต้องรับรู้ว่า กองทัพของอเมริกันจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งและอเมริกาจะไม่มีวันยอมอ่อนข้อเด็ดขาด
นายเฮกเซธ วัย 44 ปี จะต้องผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาก่อนที่จะก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งเคยแสดงความไม่เห็นด้วยกับนโยบายที่เรียกว่า โว้ก (woke) ของนายทหารระดับสูงและผู้บริหารกระทรวงกลาโหม สำหรับ “โว้ก” เป็นกระแสการตื่นรู้เพื่อการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของสังคม เพื่อขจัดการกดขี่กันในทางเพศหรือสีผิว ตลอดจนลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
จอห์น เรตคลิฟฟ์ ผอ. ซีเอไอ
นายจอห์น เรตคลิฟฟ์ จะมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลาง หรือ ซีเอไอ
นายเรตคลิฟฟ์ เป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับนายทรัมป์ เขาเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติในสมัยที่นายทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและพ้นจากตำแหน่งพร้อมกับที่นายทรัมป์หมดวาระดำรงตำแหน่งในสมัยแรกในเดือนมกราคม 2021
แมตต์ แกตซ์ รัฐมนตรียุติธรรม
แมตต์ แกตซ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของรัฐฟลอริดาวัย 42 ปี ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรียุติธรรม ซึ่งคนวงในของนายทรัมป์เชื่อว่า นายแกตซ์จะมีภารกิจสำคัญในงานด้านกฎหมาย ทั้งเรื่องการผลักดันผู้อพยพผิดกฎหมายออกนอกประเทศตามนโยบายของนายทรัมป์ ล้างผิดให้กับผู้ก่อเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาหลังการเลือกตั้งปี 2020 และเอาคืนคนกลุ่มต่างๆ ที่เคยเล่นงานทางกฎหมายเพื่อเอาผิดทรัมป์ในหลายคดีตลอดช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมา นายแกตซ์ ไม่เคยทำงานในกระทรวงยุติธรรมและไม่เคยเป็นอัยการมาก่อน และเป็นอีกคนที่ไม่มีประสบการณ์แต่ได้รับเลือกจากนายทรัมป์ให้มาร่วมรัฐบาล
ทูลซี แกบบาร์ด ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
ทูลซี แกบบาร์ด อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหญิงจากรัฐฮาวาย ของพรรคเดโมแครต แต่เปลี่ยนค่ายมาสนับสนุนนายทรัมป์ เธอเคยพูดต่อต้านการแทรงแซงสงครามกลางเมืองในซีเรียในสมัยประธานาธิบดีบารัค โอบามา และกล่าวเป็นนัยว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน มีหลักฐานที่ชอบด้วยกฎหมายในการรุกรานยูเครน ซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐ
นายอีลอน มัสก์และนายวิเวก รามาสวามี กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล
นายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก จะได้รับตำแหน่งในรัฐบาลของนายทรัมป์ โดยจะให้กำกับดูแลหน่วยงานที่ตั้งขึ้นใหม่ที่เรียกว่า กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐบาล
นายทรัมป์ กล่าวว่า นายมัสก์จะได้รับมอบหมายให้ดูแลหน่วยงานที่จะตั้งขึ้นใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐบาล ลักษณะการทำงานคือให้คำชี้แนะและกำหนดแนวทางในการลดขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนของภาครัฐ ตัดลดรายจ่ายที่ไม่เกิดประโยชน์ รวมทั้งปรับโครงสร้างหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลกลางด้วย ยิ่งไปกว่านั้นนายทรัมป์ ยังให้นายวิเวก รามาสวามี อดีตผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ ผู้ก่อตั้งบริษัทยา รอยแวนต์ไซแอนเซส คนอเมริกันเชื้อสายอินเดียที่เคยเป็นคู่แข่งเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันชิงตำแหน่งประธานาธิบดี มาร่วมทำงานในหน่วยงานใหม่นี้ด้วย พร้อมกับกำหนดกรอบเวลาว่า งานของหน่วยงานนี้จะสิ้นสุดในอีกประมาณ 2 ปี ให้ตรงกับวันชาติครบ 250 ปี
ส่วนตำแหน่งรัฐมนตรีคลังนั้น ยังไม่มีการประกาศชื่อออกมา แต่ขณะนี้ นายโฮวาร์ด ลุตนิกส์ นายธนาคารและมหาเศรษฐี เป็นตัวเก็งที่จะได้รับตำแหน่งนี้เช่นเดียวกับนายสก็อตต์ เบสเซนต์ นักลงทุน นายลุตนิกส์ เป็นเพื่อนกับนายทรัมป์มาอย่างยาวนานและเป็นประธานร่วมในคณะถ่ายโอนอำนาจ ส่วนนายเบสเซนต์ เป็นที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจในการหาเสียงของนายทรัมป์และยังเป็นผู้ระดมทุนให้กับนายทรัมป์ด้วย
รายชื่อรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนสำคัญ ๆ บางส่วนที่ประกาศออกมาแล้วในขณะนี้ได้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้เชี่ยวชาญหลายต่อหลายคน อย่างเข่น นายรูบิโอ ที่นายทรัมป์เลือกให้มาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ในขณะที่อีกหลายคนดูเหมือนจะขาดความเชี่ยวชาญชำนาญ หรือ ขาดการสนับสนุนที่จำเป็นในการทำงานในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
นายทรัมป์ เลือกนายเฮกเซธ ให้เป็นรัฐมนตรีกลาโหม นายเฮกเซธ เป็นนักวิเคราะห์ของฟอกซ์นิวส์ และทหารผ่านศึก ที่เคยแสดงความไม่เห็นด้วยกับ แนวทาง “โว้ก” ของผู้นำกองทัพ เขาไม่เห็นด้วยกับการที่สตรีจะมีบทบาททางการรบและตั้งคำถามว่า นายพลในกองทัพได้ตำแหน่งเพราะว่าสีผิวหรือไม่ นายเฮกเซธ ซึ่งมีประสบการณ์ไม่มากในเรื่องการจัดการ แต่จะต้องเข้ามารับผิดชอบทหารอเมริกัน 1.3 ล้านคนและพลเรือนเกือบ 1 ล้านคนที่ทำงานให้กับกองทัพ
ผู้เชี่ยวชาญยังรู้สึกประหลาดใจที่นายทรัมป์เลือกแกบบาร์ด มานั่งในเก้าอี้ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ แกบบาร์ด มีประสบการณ์โดยตรงค่อนข้างน้อยในงานด้านข่าวกรองและไม่เคยได้รับการคาดหมายว่า จะมาดำรงตำแหน่งในหน่วยงานนี้ ซึ่งดูแลหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับข่าวกรอง 18 หน่วยงานด้วยกัน เธอเคยถูกส่งไปประจำการในอิรักระหว่างปี 2004-2005 และมียศพันตรีในกองกำลังพิทักษ์ดินแดนของรัฐฮาวายและขณะนี้มียศพันโทในกองกำลังสำรองของกองทัพบกสหรัฐ เธอแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยที่สหรัฐแทรงแซงในซีเรีย เธอถึงขั้นเดินทางอย่างลับ ๆ ไปพบกับประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ของซีเรียเมื่อเดือนมกราคม 2017 ผู้นำซีเรียเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษยฃนอย่างกว้างขวาง การเดินทางของเธอถูกตำหนิจากสมาชิกรัฐสภาทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน
อีกหนึ่งคนที่สร้างความประหลาดใจไม่น้อยกับผู้เชี่ยวชาญและนักสังเกตุการณ์ทางการเมืองคือนายแกตซ์ ที่จะมาเป็นรัฐมนตรียุติธรรม เขาไม่เคยทำงานที่กระทรวงยุติธรรมมาก่อน หรือ เป็นอัยการมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังถูกกระทรวงยุติธรรมสอบสวนในข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการค้าทางเพศ
จากรายชื่อเหล่านี้ดูเหมือนว่า นายทรัมป์ใช้การเลือกด้วยเหตุผลส่วนตัวมากกว่าการสรรหาตามรูปแบบปกติ และเน้นผู้ที่มีความภักดีที่จะไม่ขัดคำสั่งหรือขัดขวางนโยบายที่เป็นประเด็นร้อนของเขา แต่ทั้งหลายทั้งปวงแล้ว การเลือกสรรคณะรัฐมนตรีของเขาเป็นสัญญาณให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคนเกี่ยวกับแนวทางของรัฐบาลสหรัฐที่จะบริหารงานและบทบาทของอเมริกาต่อโลกในช่วงระยะเวลา 4 ปี ต่อจากนี้.-813.-สำนักข่าวไทย