วอชิงตัน 26 มิ.ย.- สหประชาชาติหรือยูเอ็นเผยรายงานวันนี้ว่า การที่นานาชาติพยายามโดดเดี่ยวรัฐบาลเมียนมาดูเหมือนจะสามารถลดทอนความสามารถในการจัดซื้ออาวุธใหม่จากต่างประเทศ แต่กองทัพเมียนมายังคงเข้าถึงเงินและอาวุธจากบางประเทศไว้ทำสงครามกับกลุ่มต่อต้าน
นายทอม แอนดรูวส์ ผู้รายงานพิเศษยูเอ็นด้านสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเมียนมาเผยแพร่รายงานว่า รัฐบาลทหารเมียนมานำเข้าอาวุธ เทคโนโลยีที่ใช้ได้ทั้งทางทหารและพลเรือน อุปกรณ์การผลิต และวัสดุอื่น ๆ มูลค่า 253 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9,311 ล้านบาท) ในปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2567 ลดลง 1 ใน 3 จากปีงบประมาณก่อน อันเป็นผลจากการที่สิงคโปร์พยายามขัดขวางไม่ให้บริษัทสิงคโปร์ให้ความช่วยเหลือรัฐบาลเมียนมา เรื่องนี้มีความหมายอย่างยิ่ง เนื่องจากกองทัพเมียนมาใช้อาวุธเหล่านี้โจมตีทางอากาศ สังหารพลเรือนตามหมู่บ้าน
รายงานระบุว่า หน่วยงานในความควบคุมของกระทรวงกลาโหมเมียนมามีการจัดซื้อจัดจ้างทางทหารมูลค่า 630 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 23,185 ล้านบาท) ระหว่างปี 2565-2567 โดยจัดซื้อจัดจ้างจากสิงคโปร์ลดลง จากมากกว่า 110 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (กว่า 4,048 ล้านบาท) ในปีงบประมาณ 2565 เหลือ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐเศษ (ราว 368 ล้านบาท) ในปีงบประมาณ 2566 แต่จัดซื้อจัดจ้างจากบริษัทที่จดทะเบียนในไทยเพิ่มขึ้น 2 เท่า จาก 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2,208 ล้านบาท) เป็น 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4,416 ล้านบาท)
รายงานระบุต่อไปว่า ในปี 2566 บริษัทจดทะเบียนในไทยกลายเป็นผู้จัดหาเฮลิคอปเตอร์เอ็มไอ-17 (Mi-17) และเอ็มไอ-35 (Mi-35) ให้แก่สภาบริหารแห่งรัฐหรือเอสเอซี (SAC) ซึ่งเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของรัฐบาลทหารเมียนมา แทนที่บริษัทจดทะเบียนในสิงคโปร์ เอสเอซีนำเฮลิคอปเตอร์เหล่านี้มาใช้ลำเลียงหทารและโจมตีพลเรือน เช่นที่เกิดขึ้นกับหมู่บ้านในภาคสะกายเมื่อเดือนเมษายน 2566 มีคนถูกสังหารประมาณ 170 คน โดยเป็นเด็กมากถึง 40 คน.-814.-สำนักข่าวไทย