TNA News-Now-Next: สิงคโปร์เปลี่ยนผ่านผู้นำสู่ยุค 4G

วันนี้ สิงคโปร์เข้าสู่การเปลี่ยนผ่านผู้นำอีกครั้ง แต่เป็นเพียงครั้งที่ 3 เท่านั้นตั้งแต่สถาปนาประเทศขึ้นเมื่อปี 2508 หรือ 59 ปีก่อน


นาย ลี เซียนลุง ผู้อำลาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ครองมาตั้งแต่ ปี 2547 ประกาศว่า การเปลี่ยนผ่านตำแหน่งผู้นำเป็นช่วงเวลาสำคัญของประเทศ ที่ผ่านมาเขาได้เตรียมการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน กำหนดจะลงจากตำแหน่งเมื่อ 2 ปีก่อนแต่เมื่อยังเกิดวิกฤติโควิด-19 จึงต้องขยายเวลาเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการรับมือ

แม้กระนั้นการเปลี่ยนแปลงผู้นำรอบนี้ก็เกิดขึ้นในเวลาที่ สังคมมีความแตกต่างขยายวงขึ้น ด้วยค่าครองชีพที่สูงขึ้น ความไม่เท่าเทียมที่เพิ่มมากขึ้น ตลอดความขุ่นข้องหมองใจในหมู่แรงงานต่างชาติ ส่วนการเมืองภายในก็เริ่มเห็นความขัดแย้งขึ้น สำหรับการเมืองระหว่างประเทศก็เป็นจังหวะเวลาที่ท้าทาย จากความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ


สิงคโปร์ในยามเปลี่ยนผู้นำจะก้าวย่างต่อไปอย่างไร มีอะไรที่เราเรียนรู้ได้บ้าง

ทายาทผู้รับไม้ต่อ

นายลี เซียนลุง วัย 72 ปี บุตรชายคนโตของ นาย ลี กวนยู บิดาผู้ล่วงลับที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นรัฐบุรุษ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2547 ขณะอายุ 51 ปี เขาลงจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคกิจประชาชนในวันนี้ (15 พ.ค. 2567) และส่งไม้ผู้นำประเทศต่อให้กับ นายลอว์เรนซ์ หว่อง รองนายกรัฐมนตรี


นายกรัฐมนตรี 4G ของสิงคโปร์

นายลอว์เรนซ์ หว่อง รองนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์และรัฐมนตรีคลัง รับตำแหน่งผู้นำสิงคโปร์คนใหม่ ในการเปลี่ยนผ่านอำนาจทางการเมืองครั้งที่ 3 นับตั้งแต่สิงคโปร์ได้รับเอกราชแยกตัวจากมาเลเซียเมื่อปี 2508

นายหว่อง วัย 51 ปี ออกแถลงการณ์ว่า เขาน้อมรับและตระหนักดีถึงภาระหน้าที่ใหม่ จึงขอให้ประชาชนช่วยกันสนับสนุนการทำงานของเขา โดยเตรียมคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะทำงานร่วมกับเขาหลังจากสาบานตนเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของสิงคโปร์

เส้นทางชีวิตและการเมืองลอว์เรนซ์ หว่อง

นายลอว์เรนซ์ หว่อง เกิดวันที่ 18 ธันวาคม ปี 2515 ปัจจุบันอายุ 51 ปี มีชื่อเต็มคือ Lawrence Wong Shyun Tsai บิดาของเขาเป็นชาวจีนที่อพยพมาอยู่ที่สิงคโปร์ และมารดาของเขาเป็นครู เติบโตในชุมชนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและสังคม

ด้านการศึกษา เขาเข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาลและมหาวิทยาลัยแห่งชาติของสิงคโปร์ ในสาขาวิทยาศาสตร์ จากนั้นไปศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่สหรัฐอเมริกา โดยสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Wisconsin-Madison และยังได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย Michigan-Ann Arbor และปริญญาโทอีกใบในสาขารัฐประศาสนศาสตร์จาก Harvard Kennedy School

นายหว่อง เริ่มต้นการงานอาชีพด้วยการทำงานในภาครัฐ เป็นเจ้าหน้าที่สำนักพลังงานในองค์กรการวิจัยสิ่งแวดล้อมแห่งสิงคโปร์ (Singapore Institute of International Affairs) ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการส่วนตัวของนายลี เซียน ลุง ซึ่งทำให้เขาเติบโตบนเส้นทางการเมืองอย่างรวดเร็ว จากตำแหน่งรัฐมนตรีศึกษาและพัฒนา ไปจนถึงรัฐมนตรีคลัง เมื่อปี 2554 ขณะที่มีอายุได้ 39 ปีเท่านั้น ต่อมาในปี 2563 จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีคลัง

นายกรัฐมนตรีจากการปลุกปั้นและฟูมฟัก

นายหว่อง ได้รับการคาดหมายเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของสิงคโปร์มานาน จากหลายปัจจัยตั้งแต่ประสบการณ์การทำงานในภาครัฐ การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมือง และที่โดดเด่นมากคือการบริหารจัดการสถานการณ์วิกฤติโรคโควิด-19

เมื่อโรคร้ายระบาด นาย หว่องเป็นขุนพลต่อสู้ในฐานะประธานร่วมของคณะทำงานเฉพาะกิจโควิด-19 สร้างผลงานในการรับมืออย่างมีประสิทธิภาพ ปูทางให้เขาได้สัมผัสใกล้ชิดกับวิถีชีวิตของชาวบ้านเป็นครั้งแรก

บารมีทางการเมืองภายในประเทศเป็นเครื่องพิสูจน์ แม้อายุไม่มากแต่ได้รับการยอมรับในพรรคกิจประชาชน พรรครัฐบาลที่กุมอำนาจทางการเมืองในสิงคโปร์มาตั้งแต่ต้น พลพรรคดูเชื่อมั่นว่า จะเป็นผู้นำที่นำพาพรรคและประเทศจนได้รับการยอมรับจากประชาชนแม้เขาจะไม่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรงก็ตาม มองกันว่า นายหว่อง สะท้อนความตั้งใจของพรรคที่จะรักษาความสมดุลของอำนาจภายในพรรคและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพในเวลาเดียวกัน

มองไปข้างหน้ากับผู้นำใหม่สิงคโปร์

นายหว่อง มีความโดดเด่นที่สุดที่สร้างความเชื่อมั่นในหมู่ประชาชน ด้วยภาพลักษณ์ความมีวิสัยทัศน์ชัดเจนในการสร้างสิ่งใหม่ๆเพื่อเพิ่มศักยภาพของประเทศ เขามุ่งมั่นให้สิงคโปร์ผงาดในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยที่ผ่านมา มักแสดงวิสัยทัศน์สร้างสิงคโปร์ให้เป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมและเทคโนโลยีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยแนวทางการสนับสนุนภาคธุรกิจด้านเทคโนโลยีและการสร้างสรรค์ การเสริมสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาและวัฒนธรรม และสร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

การเปลี่ยนผ่านผู้นำราบรื่นไร้รอยต่อ

นับตั้งแต่ประกาศอิสรภาพจากอังกฤษในปี 2508 สิงคโปร์มีนายกรัฐมนตรีเป็นคนที่ 4 เท่านั้น ทุกครั้งที่ผู้นำผลัดใบจะมีกระบวนการที่วางไว้สืบทอดกันมาให้การเปลี่ยนผ่านราบรื่น

เริ่มจากนาย ลี กวนยู ที่อยู่ในตำแหน่งมาตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ เขาได้แสดงความประสงค์จะลงจากอำนาจก่อนที่จะส่งไม้ต่อถึง 6 ปี นาย โก๊ะ จ๊กตง นายกรัฐมนตรีคนต่อมาก็สืบสานธรรมเนียมการเมืองนี้ ลงจากตำแหน่งเปิดทางให้กับนาย ลี เซียนลุง ซี่งได้ประกาศที่จะสละตำแหน่งผู้นำมาหลายปีแล้ว

วัฒนธรรมการเมืองเช่นนี้เองที่อาจเป็นเคล็ดลับให้สิงคโปร์ติดปีก สร้างศักยภาพให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินและศูนย์กลางทางเทคโนโลยีแห่งเอเชีย การเปลี่ยนผ่านผู้นำในหลายประเทศมักตามมาด้วยความขลุกขลัก แต่สิงคโปร์ส่งไม้ต่อจากรุ่นสู่รุ่นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ราวบทประพันธ์ดนตรีที่มีท่วงทำนองไพเราะ จากดำริและการปูรากฐานของนาย ลี กวนยู พรรคกิจประชาชนคำนึงถึงเสถียรภาพ เข้าใจว่า การส่งไม้ต่ออย่างไร้รอยต่อสำคัญอย่างยิ่งต่อชาติบ้านเมืองเพื่อรับประกันความต่อเนื่อง จึงให้ดำเนินการอย่างราบรื่น เป็นระบบ ประณีต และโปร่งใส

Final Thoughts: การเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่นในโลกที่ปั่นป่วน

แม้สืบทอดความราบรื่นของการเมืองในสิงคโปร์ และมรดกแห่งหัวคิดที่ก้าวหน้า นาย หว่อง มีเรื่องท้าทายรออยู่ข้างหน้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพ ความไม่เท่าเทียมในสังคม ผู้อพยพ และเรื่องอื้อฉาวในหมู่นักการเมือง ในด้านการต่างประเทศยุคสมัยของผู้นำรุ่นที่ 4 คนนี้จะเผชิญหน้ากับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์สูงขึ้น โดยต้องพยายามรักษาสมดุลย์เพื่อไม่ให้กระทบกับการค้าและการเดินเรือของสิงคโปร์

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

กระเช้าหลุด ช่างทาสีร่วงตึก 5 ชั้น ตาย 1 สาหัส 1

พัทลุง 2 ส.ค. – เกิดเหตุสลด กระเช้าปลายบูมหลุดจากเครน ช่างทาสีร่วงจากตึก 5 ชั้น เสียชีวิต 1 เจ็บสาหัส 1 ที่ไซต์งานก่อสร้างอาคารเรียน จ.พัทลุง เกิดเหตุสลดกลางไซต์งานก่อสร้างอาคารเรียนแห่งหนึ่ง ในตำบลควนมะพร้าว อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง เมื่อกระเช้าที่ผูกติดกับหัวเครนเกิดหัก หลุดจากตึกสูง 5 ชั้น ส่งผลให้ช่างทาสี 2 คน ที่อยู่บนกระเช้าร่วงตกลงกระแทกพื้น เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทันที 1 คน คือ นายธวัชชัย อายุ 36 ปี และนายชุติเดช อายุ 43 ปี บาดเจ็บสาหัส ขาทั้งสองข้างหักละเอียด แขนซ้ายหักผิดรูป เจ้าหน้าที่เร่งให้การช่วยเหลือก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาลพัทลุงอย่างเร่งด่วน ผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า คนงานทั้ง 2 เป็นช่างทาสี ได้ขึ้นกระเช้าเหล็กเพื่อขึ้นไปทาสีบริเวณชั้น 5 ของอาคาร ซึ่งมีความสูงประมาณ 26 เมตร แต่ด้วยน้ำหนักของคนงานทั้งสองคน […]

รัฐบาลรุกหนักในทุกเวทีระดับโลก..เดินหน้าสื่อสารข้อเท็จจริง

ทำเนียบ 2 ส.ค.-รัฐบาลรุกหนักในทุกเวทีระดับโลก..เดินหน้าสื่อสารข้อเท็จจริง ด้วยพยานหลักฐานทุกมิติ ต่อประชาคมโลกผ่าน OSCE-เวทีระดับสูงด้านความมั่นคงของยุโรป ยืนยันหลักสันติวิธี ยึดกฎหมายระหว่างประเทศ และตอกย้ำว่าการปกป้องประชาชนจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชาเป็นสิทธิโดยชอบตามกฎหมายสากล พร้อมใช้โอกาสนี้ขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงในระดับภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการ ศบ.ทก. เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าบทบาทของประเทศไทย ในเวทีระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อสื่อสารข้อเท็จจริงและแสดงท่าทีอย่างตรงไปตรงมาต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ถึงวานนี้ (1 สิงหาคม 2568) ที่ผ่านมา ไทยได้เข้าร่วมการประชุม Helsinki+50 ในกรอบองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (Organization for Security and Co-operation in Europe: OSCE) ณ กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ โดยมี นางครองขนิษฐ รักษ์เจริญ อธิบดีกรมยุโรป เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม โดยในช่วงของการกล่าวถ้อยแถลง หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ได้ย้ำท่าทีของไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ว่า “ไทยยึดมั่นในกฎบัตรสหประชาชาติ หลักมนุษยธรรมสากล และหลักการของ Helsinki Final […]

EOD เก็บกู้ระเบิดฝังอยู่ใกล้ปั๊มที่ถูกกัมพูชายิงใส่

ศรีสะเกษ 2 ส.ค. – เจ้าหน้าที่ EOD ทำลายหัวระเบิด HE ของจรวด BM 21 ที่ฝังอยู่บนถนนกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ใกล้กับปั๊มน้ำมันที่ถูกกัมพูชายิงใส่ร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่เวลา 14.00 น. ที่ผ่านมา ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด หรือ EOD เริ่มเตรียมความพร้อมเพื่อทำลายระเบิดที่ฝังอยู่ในถนน บ้านน้ำเย็น-บ้านผือ ฝั่งมุ่งหน้าเขาพระวิหาร ในพื้นที่ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นระเบิดที่ฝั่งกัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือน โดยจุดที่ระเบิดถูกฝังบนถนนอยู่ห่างจากปั๊ม ปตท. บ้านผือ ไม่ถึง 1 กิโลเมตร เป็นระเบิดที่ถูกยิงมาในวันที่ 24 กรกฎาคม พร้อมกับเหตุการณ์ยิงกัมพูชายิงจรวดใส่ร้านสะดวกซื้อภายในปั๊ม จนมีผู้เสียชีวิต 8 ราย เจ้าหน้าที่ได้นำกระสอบทรายมาทำเป็นบังเกอร์ล้อมรอบจุดที่ระเบิดฝังอยู่ในถนน เจ้าหน้าที่ชุดจากตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ ตำรวจ ตชด.ที่ 22 อุบลราชธานี และเจ้าหน้าที่จากศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ศูนย์บัญชาการทางทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย หรือ TMAC โดยมีการปิดถนนรัศมี 1 กิโลเมตร […]

กองทัพภาคที่ 2 แชร์ข้อมูลอาวุธไฮเทคสำหรับยิงโดรน

นครราชสีมา 2 ส.ค.-กองทัพภาคที่ 2 แชร์ข้อมูลอาวุธสำหรับกำจัดโดรนโดยเฉพาะ ซึ่งล่าสุดได้ทดสอบระบบ ณ กองบิน 1 ศูนย์ทดสอบอาวุธทางอากาศ เรียบร้อยแล้ว ด้านชาวอุดรธานี แห่บริจาคหนังสติ๊กพร้อมลูกแก้ว ตามที่ทหารขอมาจำนวนมาก หลังทหารกัมพูชายังก่อกวน ยั่วยุ ทั้งขว้างก้อนหินใส่ และมีโดรนปริศนามาบินอีก จากกรณีที่ช่วงนี้ มีการตรวจพบโดรนไม่ทราบฝ่าย เข้ามาบินตรวจการณ์ในพื้นที่ที่ตั้งทางทหาร ทำให้หลายฝ่ายมีความกังวล และสงสัยว่าอาจเป็นภัยคุกคามร้ายแรงจากประเทศเพื่อบ้าน ที่กำลังมีปัญหาระหว่างประเทศกับประเทศไทย ทำให้เมื่อวานเพจกองทัพภาคที่ 2 ได้แชร์ข้อมูลอาวุธสำหรับกำจัดโดรนโดยเฉพาะ ซึ่งล่าสุดได้มีการทดสอบระบบ ณ กองบิน 1 ศูนย์ทดสอบอาวุธทางอากาศ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเมื่อวานนี้ (1 ส.ค.68) เฟซบุ๊กเพจ กองทัพภาคที่2 ได้แชร์ข้อมูลเพจ SMART Soldiers Strong ARMY พร้อมระบุข้อความว่า “หากศัตรูซ่อนตัวในเงามืด เราจะเป็นแสงที่มองเห็นมันก่อนใคร”เลเซอร์พร้อมยิง — ทหารไทยพร้อมรบโดยอาวุธชนิดนี้ คือ Directed Energy Weapon หรือ (DEW) เป็นอาวุธยุคใหม่ที่กองทัพอากาศไทยพัฒนาขีดความสามารถอย่างต่อเนื่อง […]