วันนี้ สิงคโปร์เข้าสู่การเปลี่ยนผ่านผู้นำอีกครั้ง แต่เป็นเพียงครั้งที่ 3 เท่านั้นตั้งแต่สถาปนาประเทศขึ้นเมื่อปี 2508 หรือ 59 ปีก่อน
นาย ลี เซียนลุง ผู้อำลาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ครองมาตั้งแต่ ปี 2547 ประกาศว่า การเปลี่ยนผ่านตำแหน่งผู้นำเป็นช่วงเวลาสำคัญของประเทศ ที่ผ่านมาเขาได้เตรียมการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน กำหนดจะลงจากตำแหน่งเมื่อ 2 ปีก่อนแต่เมื่อยังเกิดวิกฤติโควิด-19 จึงต้องขยายเวลาเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการรับมือ
แม้กระนั้นการเปลี่ยนแปลงผู้นำรอบนี้ก็เกิดขึ้นในเวลาที่ สังคมมีความแตกต่างขยายวงขึ้น ด้วยค่าครองชีพที่สูงขึ้น ความไม่เท่าเทียมที่เพิ่มมากขึ้น ตลอดความขุ่นข้องหมองใจในหมู่แรงงานต่างชาติ ส่วนการเมืองภายในก็เริ่มเห็นความขัดแย้งขึ้น สำหรับการเมืองระหว่างประเทศก็เป็นจังหวะเวลาที่ท้าทาย จากความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ
สิงคโปร์ในยามเปลี่ยนผู้นำจะก้าวย่างต่อไปอย่างไร มีอะไรที่เราเรียนรู้ได้บ้าง
ทายาทผู้รับไม้ต่อ
นายลี เซียนลุง วัย 72 ปี บุตรชายคนโตของ นาย ลี กวนยู บิดาผู้ล่วงลับที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นรัฐบุรุษ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2547 ขณะอายุ 51 ปี เขาลงจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคกิจประชาชนในวันนี้ (15 พ.ค. 2567) และส่งไม้ผู้นำประเทศต่อให้กับ นายลอว์เรนซ์ หว่อง รองนายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรี 4G ของสิงคโปร์
นายลอว์เรนซ์ หว่อง รองนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์และรัฐมนตรีคลัง รับตำแหน่งผู้นำสิงคโปร์คนใหม่ ในการเปลี่ยนผ่านอำนาจทางการเมืองครั้งที่ 3 นับตั้งแต่สิงคโปร์ได้รับเอกราชแยกตัวจากมาเลเซียเมื่อปี 2508
นายหว่อง วัย 51 ปี ออกแถลงการณ์ว่า เขาน้อมรับและตระหนักดีถึงภาระหน้าที่ใหม่ จึงขอให้ประชาชนช่วยกันสนับสนุนการทำงานของเขา โดยเตรียมคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะทำงานร่วมกับเขาหลังจากสาบานตนเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของสิงคโปร์
เส้นทางชีวิตและการเมืองลอว์เรนซ์ หว่อง
นายลอว์เรนซ์ หว่อง เกิดวันที่ 18 ธันวาคม ปี 2515 ปัจจุบันอายุ 51 ปี มีชื่อเต็มคือ Lawrence Wong Shyun Tsai บิดาของเขาเป็นชาวจีนที่อพยพมาอยู่ที่สิงคโปร์ และมารดาของเขาเป็นครู เติบโตในชุมชนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและสังคม
ด้านการศึกษา เขาเข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาลและมหาวิทยาลัยแห่งชาติของสิงคโปร์ ในสาขาวิทยาศาสตร์ จากนั้นไปศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่สหรัฐอเมริกา โดยสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Wisconsin-Madison และยังได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย Michigan-Ann Arbor และปริญญาโทอีกใบในสาขารัฐประศาสนศาสตร์จาก Harvard Kennedy School
นายหว่อง เริ่มต้นการงานอาชีพด้วยการทำงานในภาครัฐ เป็นเจ้าหน้าที่สำนักพลังงานในองค์กรการวิจัยสิ่งแวดล้อมแห่งสิงคโปร์ (Singapore Institute of International Affairs) ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการส่วนตัวของนายลี เซียน ลุง ซึ่งทำให้เขาเติบโตบนเส้นทางการเมืองอย่างรวดเร็ว จากตำแหน่งรัฐมนตรีศึกษาและพัฒนา ไปจนถึงรัฐมนตรีคลัง เมื่อปี 2554 ขณะที่มีอายุได้ 39 ปีเท่านั้น ต่อมาในปี 2563 จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีคลัง
นายกรัฐมนตรีจากการปลุกปั้นและฟูมฟัก
นายหว่อง ได้รับการคาดหมายเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของสิงคโปร์มานาน จากหลายปัจจัยตั้งแต่ประสบการณ์การทำงานในภาครัฐ การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมือง และที่โดดเด่นมากคือการบริหารจัดการสถานการณ์วิกฤติโรคโควิด-19
เมื่อโรคร้ายระบาด นาย หว่องเป็นขุนพลต่อสู้ในฐานะประธานร่วมของคณะทำงานเฉพาะกิจโควิด-19 สร้างผลงานในการรับมืออย่างมีประสิทธิภาพ ปูทางให้เขาได้สัมผัสใกล้ชิดกับวิถีชีวิตของชาวบ้านเป็นครั้งแรก
บารมีทางการเมืองภายในประเทศเป็นเครื่องพิสูจน์ แม้อายุไม่มากแต่ได้รับการยอมรับในพรรคกิจประชาชน พรรครัฐบาลที่กุมอำนาจทางการเมืองในสิงคโปร์มาตั้งแต่ต้น พลพรรคดูเชื่อมั่นว่า จะเป็นผู้นำที่นำพาพรรคและประเทศจนได้รับการยอมรับจากประชาชนแม้เขาจะไม่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรงก็ตาม มองกันว่า นายหว่อง สะท้อนความตั้งใจของพรรคที่จะรักษาความสมดุลของอำนาจภายในพรรคและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพในเวลาเดียวกัน
มองไปข้างหน้ากับผู้นำใหม่สิงคโปร์
นายหว่อง มีความโดดเด่นที่สุดที่สร้างความเชื่อมั่นในหมู่ประชาชน ด้วยภาพลักษณ์ความมีวิสัยทัศน์ชัดเจนในการสร้างสิ่งใหม่ๆเพื่อเพิ่มศักยภาพของประเทศ เขามุ่งมั่นให้สิงคโปร์ผงาดในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยที่ผ่านมา มักแสดงวิสัยทัศน์สร้างสิงคโปร์ให้เป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมและเทคโนโลยีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยแนวทางการสนับสนุนภาคธุรกิจด้านเทคโนโลยีและการสร้างสรรค์ การเสริมสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาและวัฒนธรรม และสร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
การเปลี่ยนผ่านผู้นำราบรื่นไร้รอยต่อ
นับตั้งแต่ประกาศอิสรภาพจากอังกฤษในปี 2508 สิงคโปร์มีนายกรัฐมนตรีเป็นคนที่ 4 เท่านั้น ทุกครั้งที่ผู้นำผลัดใบจะมีกระบวนการที่วางไว้สืบทอดกันมาให้การเปลี่ยนผ่านราบรื่น
เริ่มจากนาย ลี กวนยู ที่อยู่ในตำแหน่งมาตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ เขาได้แสดงความประสงค์จะลงจากอำนาจก่อนที่จะส่งไม้ต่อถึง 6 ปี นาย โก๊ะ จ๊กตง นายกรัฐมนตรีคนต่อมาก็สืบสานธรรมเนียมการเมืองนี้ ลงจากตำแหน่งเปิดทางให้กับนาย ลี เซียนลุง ซี่งได้ประกาศที่จะสละตำแหน่งผู้นำมาหลายปีแล้ว
วัฒนธรรมการเมืองเช่นนี้เองที่อาจเป็นเคล็ดลับให้สิงคโปร์ติดปีก สร้างศักยภาพให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินและศูนย์กลางทางเทคโนโลยีแห่งเอเชีย การเปลี่ยนผ่านผู้นำในหลายประเทศมักตามมาด้วยความขลุกขลัก แต่สิงคโปร์ส่งไม้ต่อจากรุ่นสู่รุ่นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ราวบทประพันธ์ดนตรีที่มีท่วงทำนองไพเราะ จากดำริและการปูรากฐานของนาย ลี กวนยู พรรคกิจประชาชนคำนึงถึงเสถียรภาพ เข้าใจว่า การส่งไม้ต่ออย่างไร้รอยต่อสำคัญอย่างยิ่งต่อชาติบ้านเมืองเพื่อรับประกันความต่อเนื่อง จึงให้ดำเนินการอย่างราบรื่น เป็นระบบ ประณีต และโปร่งใส
Final Thoughts: การเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่นในโลกที่ปั่นป่วน
แม้สืบทอดความราบรื่นของการเมืองในสิงคโปร์ และมรดกแห่งหัวคิดที่ก้าวหน้า นาย หว่อง มีเรื่องท้าทายรออยู่ข้างหน้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพ ความไม่เท่าเทียมในสังคม ผู้อพยพ และเรื่องอื้อฉาวในหมู่นักการเมือง ในด้านการต่างประเทศยุคสมัยของผู้นำรุ่นที่ 4 คนนี้จะเผชิญหน้ากับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์สูงขึ้น โดยต้องพยายามรักษาสมดุลย์เพื่อไม่ให้กระทบกับการค้าและการเดินเรือของสิงคโปร์