ย่างกุ้ง 11 พ.ย.- เหตุกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธในรัฐฉานจับมือกันโจมตีกองทัพเมียนมาและปิดถนนสายสำคัญไปยังจีน 2 สาย ทำให้การค้าข้ามพรมแดนหยุดชะงัก ส่งผลให้สินค้าราคาแพงขึ้น รัฐบาลขาดรายได้จากภาษี และขาดการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ
การสู้รบในรัฐฉาน ทางเหนือของเมียนมาดำเนินมา 2 สัปดาห์แล้ว และทำให้มีคนพลัดถิ่นเกือบ 50,000 คนตามข้อมูลของสหประชาชาติ ชาวเมืองมูเซ (Muse) ที่มีพรมแดนติดกับจีนเผยว่า ไม่มีรถบรรทุกสินค้าเข้ามาตั้งแต่เริ่มมีการสู้รบเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ทั้งที่ปกติจะเข้ามาวันละหลายร้อยคันเพื่อนำผักผลไม้ไปจีนและนำเครื่องใช้ไฟฟ้า ยา สินค้าอุปโภคบริโภคกลับมาจากจีน โดยได้ยินเสียงยิงปืนใหญ่และยิงปืนปะทะอย่างสม่ำเสมอ ขณะที่ชาวเมืองล่าเสี้ยว (Lashio) ซึ่งอยู่ห่างออกไป 160 กิโลเมตรเผยว่า ได้รับผลกระทบจากการสู้รบเรื่องสินค้าราคาแพงขึ้น ข้าวสาร 1 กระสอบได้ปรับราคาขึ้นจาก 160,000 จ๊าต (ราว 2,766 บาท) เป็น 190,000 จ๊าต (ราว 3,284 บาท) หากการสู้รบยืดเยื้อ พวกเขาจะยิ่งลำบาก
ข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์เมียนมาระบุว่า ช่วงเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน 2566 ด่านข้ามแดนมูเซและด่านข้ามแดนชินฉ่วยฮ่อ (Chinshwehaw) เป็นช่องทางการค้าข้ามพรมแดนของเมียนมามากกว่า 1 ใน 3 ของมูลค่าการค้าทั้งหมด 5,320 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 193,084 ล้านบาท) นักวิเคราะห์ชี้ว่า การค้าในจำนวนนี้ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 36,294 ล้านบาท) มาจากการส่งแก๊สธรรมชาติผ่านเมืองมูเซเข้าไปยังจีน และน่าจะมีการค้าข้ามพรมแดนผ่านตลาดมืดอีกมากที่ไม่ได้รวมอยู่ในตัวเลขของทางการ ขณะที่กระทรวงต่างประเทศจีนเผยเมื่อวันศุกร์ว่า เข้าใจว่าโครงสร้างพื้นฐานไม่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบ.-สำนักข่าวไทย