สหรัฐ 19 ต.ค. – ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ เดินทางออกจากอิสราเอลแล้ว หลังเสร็จสิ้นการเยือนเพื่อให้กำลังใจอิสราเอล และหาทางผ่อนคลายความขัดแย้งอิสราเอล-ฮามาส หลังเหตุระเบิดโรงพยาบาลในฉนวนกาซา ที่ทั้งสองฝ่ายโทษกันไปมา
ในระหว่างพบหารือกับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ที่กรุงเทลอาวีฟ นายไบเดน บอกว่ากลุ่มฮามาสสร้างความยากลำบาก เขาโกรธและเสียใจอย่างยิ่งต่อเหตุระเบิดที่โรงพยาบาลในฉนวนกาซา เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา และจากสิ่งที่เขาเห็นดูเหมือนว่ามันเป็นฝีมือของกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่อิสราเอล พร้อมยืนยันว่าอิสราเอลไม่มีทางปิดกั้นความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่างๆ จากอียิปต์เข้าไปยังฉนวนกาซาแน่นอน ตราบใดที่ความช่วยเหลือดังกล่าวไม่ถูกส่งถึงกลุ่มฮามาส
ความเห็นของนายไบเดนในเรื่องนี้มีขึ้นหลังจากผู้นำสหรัฐได้รับคำยืนยันจากทางการอียิปต์ว่าพร้อมเปิดจุดผ่านแดนราฟาห์ด้านที่ติดกับฉนวนกาซา ให้คาราวานรถบรรทุกความช่วยเหลือชุดแรกราว 20 คัน เดินทางจากอียิปต์เข้าไปยังฉนวนกาซา อย่างไรก็ดี ผู้นำอียิปต์จะไม่ยอมให้ผู้ลี้ภัยจากกาซาหลั่งไหลเข้าประเทศ เพราะเกรงจะเป็นแบบอย่างให้ชาวปาเลสไตน์ผู้พลัดถิ่นจากเขตเวสต์แบงก์ทะลักเข้าสู่จอร์แดนที่อยู่ติดกัน
สำหรับเหตุระเบิดโรงพยาบาลอัล-อาห์ลี ถือเป็นเหตุการณ์นองเลือดที่สุดในฉนวนกาซาระหว่างเกิดความรุนแรงในปัจจุบัน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขปาเลสไตน์เผยว่ายอดผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้อยู่ที่ 471 ราย เพิ่มจำนวนผู้เสียชีวิตในฉนวนกาซาจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลตลอด 11 วันที่ผ่านมา เป็นกว่า 3,500 รายแล้ว
กลุ่มฮามาสในปาเลสไตน์บอกว่าเหตุระเบิดที่โรงพยาบาลเกิดจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล แต่กองทัพอิสราเอลระบุว่ามีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าระเบิดที่โรงพยาบาลในกาซาเกิดจากกลุ่มอิสลามิก จิฮัด กลุ่มติดอาวุธอีกกลุ่มในปาเลสไตน์ ยิงจรวดจากสุสานแห่งหนึ่งในกาซา แต่เกิดความผิดพลาดจรวดระเบิด และชิ้นส่วนร่วงตกลงมาใส่ลานจอดรถของโรงพยาบาล
อย่างไรก็ดี บรรดาชาติอาหรับทั้งที่เป็นอริและพันธมิตรของอิสราเอลยังคงเชื่อว่าอิสราเอลต้องรับผิดชอบเหตุโจมตีโรงพยาบาลในกาซา จนเกิดการลุกฮือประท้วงรุนแรงในหลายประเทศ สถานทูตและสถานกงสุลของทั้งอิสราเอลและสหรัฐ ตกเป็นเป้าหมายของผู้ชุมนุมประท้วง ขณะที่บรรดาผู้นำชาติอาหรับหลายชาติต่างยกเลิกนัดหมายพบหารือกับประธานาธิบดีไบเดนของสหรัฐ ที่อุตส่าห์เดินทางมาเยือนตะวันออกกลาง เพื่อแสดงความไม่พอใจในเหตุการณ์นี้.-สำนักข่าวไทย