ฮ่องกง 26 เม.ย. – ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าจีนกำลังเดินหน้าขยายคลังแสงนิวเคลียร์ครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา และปรับปรุงระบบป้องปรามนิวเคลียร์ในกรณีที่เกิดความขัดแย้งในอนาคตกับสหรัฐ
สถาบันวิจัยสันติภาพสากลสตอกโฮล์ม (SIPRI) ประเมินว่า จีนมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 350 ลูก ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับที่สหรัฐและรัสเซียมีอยู่ แต่รายงานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐประเมินเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ว่าคลังแสงนิวเคลียร์ของจีนกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว และอาจเพิ่มเป็น 1,500 หัวรบ ภายในปี 2578 เอเอฟพีระบุว่า นับตั้งแต่จีนทดสอบนิวเคลียร์ครั้งแรกในปี 2507 จีนได้แสดงท่าทีว่าต้องการมีคลังแสงนิวเคลียร์ในขนาดปานกลาง และยืนยันว่าจะไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อนในกรณีที่เกิดความขัดแย้ง แต่ในช่วงหลายปีมานี้จีนภายใต้การปกครองของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เริ่มปรับปรุงกองทัพขนานใหญ่ เช่น ยกระดับอาวุธนิวเคลียร์ให้นอกเหนือจากการป้องปรามศัตรู เป็นสามารถตอบโต้การโจมตีในกรณีที่การป้องปรามล้มเหลว
เดวิด โลแกน จากวิทยาลัยการทัพเรือสหรัฐ ชี้ว่า จีนกำลังเดินหน้าขยายและปรับปรุงกองกำลังนิวเคลียร์ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศ โดยไม่เพียงแต่เพิ่มกำลังผลิตหัวรบนิวเคลียร์ แต่ยังยกระดับความสามารถในการยิงหัวรบนิวเคลียร์ผ่าน 3 ช่องทาง คือ ขีปนาวุธ เครื่องบิน และเรือดำน้ำ นักยุทธศาสตร์ของจีนกังวลเรื่องสหรัฐอาจชิงโจมตีกองกำลังนิวเคลียร์ของจีนเพื่อเป็นการปลดอาวุธจีนก่อน การสั่งสมหัวรบนิวเคลียร์จึงน่าจะเป็นการสร้างหลักประกันว่าสหรัฐไม่สามารถกำจัดความสามารถของจีนในการป้องปรามนิวเคลียร์ ด้านอันกิต ปันดา จากมูลนิธิเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ มองว่า จีนคงประเมินแล้วว่าการมีกองกำลังนิวเคลียร์ที่ใหญ่ขึ้นจะทำให้สหรัฐไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องในกรณีที่เกิดความขัดแย้งในอนาคตในช่องแคบไต้หวัน
ขณะที่เอริก เฮกินโบธัม จากศูนย์นานาชาติศึกษาของเอ็มไอที (MIT) ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง และจะทำให้จีนเปลี่ยนจากรัฐที่สามารถตอบโต้ด้วยนิวเคลียร์ เป็นรัฐมหาอำนาจนิวเคลียร์อันดับ 3 ของโลก.-สำนักข่าวไทย