นิวยอร์ก 12 มี.ค.- หลายฝ่ายแสดงความกังวลว่า การที่ธนาคารซิลิคอนวัลลีย์แบงก์หรือเอสวีบี (SVB) ถูกทางการสหรัฐสั่งปิดกิจการและอายัดทรัพย์สิน อาจส่งผลกระทบหนักต่อบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีและผู้ลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดที่ฝากเงินไว้กับธนาคารนี้
สถาบันคุ้มครองเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐหรือเอฟดีไอซี (FDIC) สั่งปิดเอสวีบีเมื่อวันศุกร์ตามเวลาสหรัฐเพื่อสกัดความเสียหายไม่ให้ลุกลาม โดยรับประกันว่าทุกบัญชีจะได้รับเงินฝากคืนโดยเร็วตามวงเงินที่ได้รับความคุ้มครองบัญชีละ 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 8 ล้าน 7 แสนบาท) ส่วนเงินฝากที่เกินความคุ้มครองจะขึ้นอยู่กับว่าสามารถจำหน่ายทรัพย์สินของเอสวีบีได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งส่วนใหญ่มักกินเวลานาน รายงานประจำปีล่าสุดของเอสวีบีเผยว่า เงินฝากทั้งหมด 173,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6 ล้านล้านบาท) เป็นเงินฝากที่ไม่ได้รับความคุ้มครองมากถึงร้อยละ 96 เว็บไซต์ของเอสวีบีโฆษณาว่า เป็นหุ้นส่วนทางการเงินของเศรษฐกิจนวัตกรรม และเคยอ้างว่า เกือบครึ่งหนึ่งของบริษัทเทคโนโลยีและชีววิทยาศาสตร์ที่ได้รับทุนสนับสนุนในสหรัฐ ฝากเงินไว้กับธนาคารนี้
วาย คอมบิเนเตอร์ (Y Combinator) บริษัทให้คำแนะนำและสนับสนุนสตาร์ทอัพรายใหญ่ในสหรัฐระบุว่า ผู้ฝากเงินคือ เหยื่อที่แท้จริงของการปิดเอสวีบี ส่วนใหญ่เป็นสตาร์ทอัพที่มีพนักงาน 10-100 คน ซึ่งจะไม่สามารถจ่ายเงินเดือนและจะต้องให้คนพักงานหรือลาออกในวันจันทร์นี้เป็นอย่างเร็วที่สุด ช่วงเวลาแห่งนวัตกรรมของสหรัฐกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย เพราะยุคสตาร์ทอัพอเมริกันทั้งยุคอาจถูกทำลายลงภายในเวลาเพียง 1-2 เดือน ขณะที่บิล แอ็คแมน มหาเศรษฐีนักลงทุนเตือนว่า การล้มของเอสวีบีอาจทำลายกลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่เป็นกลไกสำคัญและระยะยาว ดังนั้นหากไม่สามารถหาทางออกด้วยเงินทุนเอกชน ก็ควรต้องพิจารณาเรื่องให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือ รายงานข่าวหลายกระแสระบุว่า เอสวีบีได้หารือเรื่องขายกิจการให้ธนาคารหลายแห่งเมื่อวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ แต่ยังไม่มีธนาคารใดตกลง.-สำนักข่าวไทย