อังกฤษ 24 พ.ค.-เจ้าหน้าที่อังกฤษเผย ซาลมาน รามาดาน อาเบดี ชายชาวอังกฤษเชื้อสายลิเบีย คือผู้ต้องสงสัยระเบิดฆ่าตัวตายในคอนเสิร์ตที่เมืองแมนเชสเตอร์ ทำให้มีผู้เสีย 22 คน และบาดเจ็บ 59 คน ด้านกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) อ้างอยู่เบื้องหลัง
ความคืบหน้าเหตุมือระเบิดฆ่าตัวตายจุดชนวนระเบิดหลังเสร็จสิ้นคอนเสิร์ตของอาเรียนนา แกรนเด ศิลปินป็อบสตาร์สาวชาวอเมริกัน เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น เจ้าหน้าที่อังกฤษเผยว่าผู้ต้องสงสัยว่าเป็นมือระเบิดคือ นายซาลมาน รามาดาน อาเบดี หนุ่มชาวเมืองแมนเชสเตอร์ เชื้อสายลิเบีย วัย 22 ปี เจ้าหน้าที่ความมั่นคงอังกฤษกำลังตรวจสอบว่าเขาลงมือเพียงลำพัง หรือมีส่วนเชื่อมโยงกับบุคคลอื่น ภายหลังกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) อ้างว่าอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีในครั้งนี้
ตำรวจอังกฤษอยู่ระหว่างบุกตรวจค้นที่พักของมือระเบิด และตรวจสอบหาผู้เกี่ยวข้องเหตุก่อการร้ายเพิ่มเติมอีก โดยสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยชายวัย 23 ปี ได้อีก 1 คน ขณะที่มีการเปิดเผยรายชื่อผู้เสียชีวิต 3 รายแรก จากทั้งหมด 22 ราย ในเหตุระเบิดฆ่าตัวตาย คือ แซฟฟี โรส รูสซอส เด็กหญิงวัย 8 ปี, จอร์จินา คัลลันเดอร์ หญิงอายุ 18 ปี และนายจอห์น แอตกินสัน วัย 28 ปี ทั้งหมดเป็นชาวอังกฤษ ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บทั้ง 59 คน เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ถึง 12 คน และยังมีรายงานผู้สูญหายที่ครอบครัวยังไม่สามารถติดต่อได้อีกหลายราย บางส่วนใช้สื่อสังคมออนไลน์ รวมทั้งฮอตไลน์สายด่วนที่ทางการจัดตั้งขึ้นในการช่วยค้นหา
ด้านอาเรียนนา แกรนเด นักร้องสาวซึ่งไม่ได้รับอันตรายจากเหตุระเบิดครั้งนี้ กล่าวว่า เธอรู้สึกใจสลายและไร้ถ้อยคำใดๆ หลังตนเองและแฟนเพลงต้องเผชิญกับเหตุสะเทือนขวัญดังกล่าว นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ ผู้นำหญิงแห่งอังกฤษ ระบุเป็นการก่อการร้ายที่ขี้ขลาดและน่าตกใจอย่างมาก เพราะมุ่งเป้าหมายไปยังเยาวชนที่ไม่สามารถปกป้องตัวเอง ถือเป็นเหตุโจมตีครั้งรุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในอังกฤษในรอบ 12 ปี แต่ยังประกาศกร้าวถึงลัทธิก่อการร้ายจะไม่ได้รับชัยชนะ
ส่วนอีกด้านหนึ่งชาวเมืองแมนเชสเตอร์ต่างพากันร่วมแสดงความอาลัยแก่ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุรุนแรงครั้งนี้ ทั้งพากันตะโกนแสดงพลังแมนเชสเตอร์ แมนเชสเตอร์ ระหว่างร่วมไว้อาลัย และมีการลดธงชาติอังกฤษลงครึ่งเสาของศาลาว่าการเมืองแมนเชสเตอร์ด้วย ล่าสุดรัฐบาลอังกฤษประกาศยกระดับเตือนเฝ้าระวังภัยก่อการร้ายขั้นสูงสุด เพราะยังเชื่อว่าอาจเกิดเหตุรุนแรงขึ้นได้อีกทุกเวลา.-สำนักข่าวไทย