กรุงเทพฯ 26 ม.ค.- สหประชาชาติระบุว่า พื้นที่ปลูกฝิ่นในเมียนมาได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก หลังจากกองทัพรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนในปี 2564 เนื่องจากความวุ่นวายทางการเมืองและเศรษฐกิจบีบให้เกษตรกรต้องหันไปปลูกพืชเสพติดชนิดนี้
สำนักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเอ็นดีโอซี (UNDOC) ออกรายงานในวันนี้ว่า พื้นที่ปลูกฝิ่นในเมียนมาช่วงปี 2564-2565 เพิ่มขึ้น 1 ใน 3 เป็นมากกว่า 250,000 ไร่ และอาจจะได้ผลิตภัณฑ์จากฝิ่นมากถึง 790 ตัน เพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 90 จากปีก่อนหน้า นายเจเรมี ดักลาส ตัวแทนประจำภูมิภาคของยูเอ็นดีโอซีกล่าวว่า การหยุดชะงักทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการปกครองที่เกิดขึ้นหลังจากกองทัพรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ทำให้เกษตรกรไม่มีทางเลือก นอกจากต้องหันกลับไปปลูกฝิ่น พื้นที่ปลูกฝิ่นที่เพิ่มขึ้นจึงมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นในเมียนมา
รายงานฉบับนี้อ้างอิงข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมและการสำรวจในพื้นที่ว่า การปลูกฝิ่นในเมียนมาที่ลดลงในช่วงปี 2557-2563 ได้กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งในปี 2564 คาดว่าการปลูกฝิ่นในเมียนมามีมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 65,337 ล้านบาท) คิดเป็นร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพี (GDP) เมียนมาในปี 2564 ขณะที่ราคาฝิ่นซื้อขาย ณ สถานที่ปลูกอยู่ที่กิโลกรัมละ 280 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9,147 บาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 69 จากปีก่อนหน้า และสูงกว่าราคาในอัฟกานิสถาน ประเทศปลูกฝิ่นมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ที่ซื้อขาย ณ สถานที่ปลูกที่กิโลกรัมละ 230 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7,513 บาท) อย่างไรก็ดี ฝิ่นที่ขายได้ในราคาสูงขึ้นไม่ได้ทำให้เกษตรกรในเมียนมามีอำนาจการจับจ่ายมากขึ้นตามไปด้วย เพราะต้องจ่ายค่าน้ำมันและปุ๋ยที่แพงขึ้น.-สำนักข่าวไทย