กรุงเทพฯ 6 ก.ค.- ตลท. เผยนักลงทุนกังวลเงินเฟ้อที่สูงในรอบหลายสิบปี ประกอบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเติบโตในระดับต่ำ เสี่ยงทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจซบเซา ขณะที่ SET Index มิ.ย. ปรับลดลง 5.7% จากเดือนก่อนหน้า ส่วนครึ่งปีแรกนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิกว่าแสนล้านบาท
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เดือนมิถุนายน ตลาดหลักทรัพย์ไทยได้รับปัจจัยกระทบในหลายเรื่องทั้งเงินเฟ้อ ซึ่งส่งผลให้มีการคาดการณ์การปรับขึ้นดอกเบี้ย และคาดการณ์ว่าอาจจะทำให้เศรษฐกิจถดถอยในบางเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น สหรัฐและยุโรปธนาคารโลก (World Bank) ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2022 เหลือ 2.9% จากก่อนหน้าที่ 4.1% ผู้ลงทุนแสดงความกังวลเกี่ยวกับสภาวะเงินเฟ้อที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบหลายสิบปี อีกทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเติบโตในระดับต่ำ ซึ่งมีความเสี่ยงทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจซบเซา หรือ Stagflation ทำให้ผลตอบแทนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดของปีไปกว่า 20% หรือเข้าสู่ภาวะตลาดหมี (Bear Market)
โดยเริ่มเห็นการพิจารณาเพิ่มสัดส่วนเงินสดใน portfolio ทำให้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 SET Index ปิดที่ 1,568.33 จุด ปรับลดลง 5.7% จากเดือนก่อนหน้า และเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 SET Index ปรับลดลงเพียง 5.4% ซึ่งลดลงน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค 6 เดือนแรก ได้แรงหนุนจากอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์จากการกลับมาเปิดเมือง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 ได้แก่กลุ่มบริการ กลุ่มเกษตรและอุสาหกรรมอาหาร กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
ในเดือนมิถุนายน 2565 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 71,693 ล้านบาท ลดลง 26.2% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยใน 6 เดือนแรกปี 2565 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 87,342 ล้านบาท โดยผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนแรกหลังจากซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่หก โดยในเดือนมิถุนายน ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 29,990 ล้านบาท อย่างไรก็ตามใน 6 เดือนแรกปี 2565 ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิรวม 109,067 ล้านบาท
ขณะที่ Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 อยู่ที่ระดับ 16.1 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของ
ตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.4 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 16.8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.0 เท่า ส่วนอัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 อยู่ที่ระดับ 2.87% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 2.89%
ส่วนในเดือนกรกฏาคม ก็ยังจะมีความผันผวนอยู่ เพราะหลายๆปัจจัยยังไม่สะเด็ดน้ำ โดยเฉพาะปัจจัทางต่างประเทศเงินเฟ้อปรับขึ้น เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยสูงในครั้งล่าสุดที่ผ่านมา และคนยังคงติดตามว่าครั้งต่อไปจะปรับขึ้นสูงขนาดไหนความเชื่อมั่นในเฟดจะเป็นอย่างไร รวมถึงในบ้านเราก็ยังต้องติดตามผลประชุม กนง.ที่ครั้งก่อนมีมติ 4:3 ให้คงดอกเบี้ย และเงินเฟ้อที่ประกาสล่าสุด 7.7% ถือว่าสูงมาก ดังนั้นจะต้องติดตามการปรับดอกเบี้ยของ กนง.อย่างใกล้ชิด
นายศรพล ยังฝากเตือนนักลงทุนอย่าหลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อบริษัทรวมถึงการปลอมแปลงเอกสาร นำตราสัญลักษณ์ (โลโก้) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน หรืออ้างว่าเป็นพนักงาน บลจ. บล. หรือสถาบันการเงินที่ได้รับ ไปหลอกลวงชักชวนให้ลงทุนในกองทุนเทรดหุ้นระยะสั้นผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Line และ Facebook โดยอ้างผลตอบแทนสูง พบว่าที่ผ่านมามีหลายคนหลงเชื่อ สร้างความเสียหายหลายล้านบาท ก่อนตัดสินใจลงทุนควรตรวจสอบให้รอบคอบ ทั้งรายชื่อบุคคลผู้ประกอบธุรกิจหรือหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาต พร้อมชี้ข้อสังเกตกลุ่มมิจฉาชีพมักจะเสนออัตราผลตอบแทนการลงทุนที่จูงใจและสูงเกินจริง ให้ผลตอบแทนจากการชักชวนคนอื่นมาลงทุน รับประกันผลตอบแทนการลงทุน อ้างว่าไม่มีความเสี่ยง แอบอ้างชื่อ ภาพ โลโก้หน่วยงาน บริษัท หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือในการโฆษณาชวนเชื่อ ให้ฝากหรือโอนเงินลงทุนเข้าบัญชีส่วนตัวของบุคคลธรรมดา ไม่มีการรายงานหรือแจ้งยืนยันการลงทุน.- สำนักข่าวไทย