กรุงเทพฯ 2 เม.ย- พ.ต.ต.แก๊งอุ้มรีดเงิน 4 แสนบาท จากสองสามีภรรยา เข้ามอบตัวแล้ว เบื้องต้นตำรวจแจ้ง 2 ข้อหา กักขังหน่วงเหนี่ยวให้เสียอิสรภาพ และกรรโชกทรัพย์ พร้อมเร่งขยายผล ผู้ร่วมขบวนการที่เหลืออีกกว่า 10 คน
ความคืบหน้าคดีอุ้ม สองสามีภรรยาเพื่อรีดเงินจากการเล่นพนันออนไลน์ จำนวน 400,000 บาท และพระเลี่ยมทอง 1 องค์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา ผู้เสียหายซึ่งเป็น 2 สามีภรรยา พร้อมบุตร 1 คน เข้าแจ้งความกับตำรวจ สน.บางนา ในวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา เพื่อให้ดำเนินคดีกับชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่ง จากนั้นพนักงานสอบสวนลงพื้นที่ พบมีชายฉกรรจ์ที่ร่วมกันก่อเหตุทั้งสิ้น 15 คน ในจำนวนนี้ เป็นตำรวจ 4 นาย สังกัดกองบัญชาการตำรวจไซเบอร์ 2 นาย และ 1 ใน 2 นายเป็นระดับสารวัตร ส่วนอีก 2 นาย สังกัดกองบังคับการตำรวจนครบาล 5 อีกที่เหลืออีก 9 คน อยู่ระหว่างการพิสูจน์ทราบว่าเป็นตำรวจหรือไม่
ล่าสุดเมื่อช่วงเช้า พ.ต.ต.คม 1 ในผู้ต้องหา แอบเดินทางมามอบตัวที่ สน.บางนา แล้ว และอยู่ระหว่างการสอบปากคำ เบื้องต้นพนักงานสอบสวน ได้แจ้ง 2 ข้อหากับ พ.ต.ต.คม ในข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวให้เสียอิสรภาพ และกรรโชกทรัพย์ ต่อมาเวลา 10.00 น. พลตำรวจตรีไตรรงค์ ผิวพรรณ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เรียกประชุม ชุดสืบสวน ติดตามความคืบหน้าทางคดี ที่ สน.บางนา หลังเมื่อวานนี้ได้เข้าค้นบ้านหลังหนึ่งย่านบางชัน กรุงเทพฯ และตรวจยึดรถยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ สีดำ ที่ผู้ต้องหาใช้ก่อเหตุ ซึ่งเป็นรถที่ปรากฏตามภาพวงจรปิด ส่วนพฤติการณ์การก่อเหตุเบื้องต้นอยู่ ระหว่างการสอบปากคำว่าได้กระทำผิดจริงตามที่ถูกกล่าวอ้างหรือไม่ รายละเอียดยังอยู่ในสำนวนไม่สามารถเปิดเผยได้ ทั้งนี้ ภายหลังการสอบปากคำเสร็จสิ้นตำรวจจะได้ ควบคุมตัวพันตำรวจตรีคม ไปขออำนาจศาลฝากขังศาลอาญาพระโขนงต่อไป
เมื่อวานนี้ (1 เม.ย.) ตำรวจมีการเรียก เจ้าหน้าที่ 2 นายที่สังกัดนครบาล 5 มาสอบสวนแล้ว โดยทั้งสองคนมีชื่อในบันทึกให้ถ้อยคำของผู้เสียหาย แต่ตำรวจ 2 นายนี้ ไม่ลงลายมือชื่อบันทึกให้ถ้อยคำ ส่วนตำรวจอีก 2 นายสังกัดกองบัญชาการตำรวจไซเบอร์ ลงลายมือชื่อในบันทึกให้ถ้อยคำของผู้เสียหาย ซึ่งผู้กำกับ สน.บางนา จะประสานไปยังผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ ให้นำตัวทั้ง 2 นายมาสอบสวน ซึ่งการปรากฏชื่อใน เอกสารการให้ถ้อยคำของผู้เสียหาย เป็นหลักฐานสำคัญใช้มัดตัวทั้ง 4 นายว่าเกี่ยวข้องกับการอุ้มผู้เสียหายไปรีดทรัพย์จริง ซึ่งการสอบปากคำผู้เสียหายเบื้องต้นให้การยืนยันว่า ระหว่างที่อยู่บนรถ กลุ่มชายฉกรรจ์พูดว่าพวกตนเป็นตำรวจไซเบอร์ ที่มาอุ้มตัวเพราะต้องการนำเงินไปคืนให้กับเว็บพนันออนไลน์ ที่ผู้เสียหายเล่นพนันได้ถึง 2 ล้านบาท
ส่วนการสอบสวนผู้เสียหาย พบว่าวันเกิดเหตุ ชายฉกรรจ์ทั้ง 15 คน ใช้รถยนต์ 7 คัน มีพฤติการณ์อุกอาจบุกเข้าไปอุ้มตัว ผู้เสียหายและบุตรชายวัย 11 ขวบ ในร้านอาหารซึ่งอยู่ในปั๊มน้ำมันร้านย่านอุดมสุข จากนั้นคุมตัวขึ้นรถยนต์ขับตระเวนไปยังสถานที่ต่างๆ พร้อมกับรีดบังคับเอาทรัพย์สิน เช่น ขับไปยังบ้านญาติของผู้เสียหายและไปยังบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เพื่อทำบันทึกการให้ถ้อยคำของผู้เสียหายจนถึงเวลาประมาณเที่ยงคืนของวันเกิดเหตุ ผู้เสียหายอ่อนล้าจึงยินยอมจะมอบเงินที่ได้จากการเล่นพนันออนไลน์ให้ กลุ่มชายฉกรรจ์จึงยอมปล่อยตัวตอนประมาณเที่ยงคืน จากนั้นวันรุ่งขึ้น (11 มี.ค.) มีการนัดหมายส่งมอบเงินจำนวน 4 แสนบาทและพระเลี่ยมทอง1 องค์ ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งชายฉกรรจ์ที่รับเงินไป ไม่ใช่ตำรวจ 4 คน ชุดสืบสวนอยู่ระหว่างติดตามเงินและพิสูจน์ทราบตัวชายฉกรรจ์ที่เหลืออีก 9 คน ส่วนรถยนต์ 7 คัน พิสูจน์ทราบได้แล้ว 5 คัน พบว่าเป็นรถยนต์ของพลเรือนภายนอก ขณะนี้อยู่ระหว่างติดตามตัวมาสอบสวนปากคำผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระเลี่ยมทอง ที่ถูกคนร้ายกรรโชกไปเป็นเหรียญ “หลวงพ่อพัฒน์” เนื้อทองคำ มีมูลค่าในตลาดพระเครื่อง ประมาณ 250,000 บาท
นอกจากนี้ ยังพบว่าตำรวจกองบัญชาการตำรวจไซเบอร์ 2 นาย ที่ร่วมก่อเหตุ นายหนึ่งเป็นระดับสารวัตร เป็นตำรวจไซเบอร์สังกัดกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 หรือ สอท.2 ซึ่งจะรับผิดชอบพื้นที่ภูธรภาค 1 ภาค 2 และภาค 7 ไม่เกี่ยวข้องกับพื้นที่นครบาลเลย เพราะฉะนั้นถือจะอ้างว่ามาปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ ถือว่าข้ามพื้นที่รับผิดชอบเข้ามา
ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปพบพยานปากสำคัญ ยืนยันเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์มากกว่า 10 คน มีพฤติกรรมต้องสงสัย เข้ามาสั่งเครื่องดื่ม ก่อนเจรจากับผู้เสียหาย และพากันขึ้นรถขับออกจากปั๊มน้ำมันไปอย่างรีบร้อน สังเกตพบว่าส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นบางคนตัดผมเกรียน แต่งกายปกติ ไม่เห็นคนใดแต่งกายเครื่องแบบตำรวจ ขณะที่ชายฉกรรจ์บางคนไปนั่งคุยกับผู้หญิงที่นั่งอยู่หน้าร้านคาดว่าเป็นผู้เสียหาย ซึ่งจากที่พยานสังเกตการพูดคุยของกลุ่มชายฉกรรจ์กับผู้เสียหาย มีการใช้ภาษากายยกมือ อธิบายให้ผู้เสียหายฟังอะไรบางอย่างซึ่งผู้เสียหายก็ตั้งใจฟังและมีการขมวดคิ้วเป็นบางช่วง โดยใช้เวลาพูดคุยกันประมาณ 30 นาที จากนั้นพากันขับรถออกจากร้านไปรวมทั้งตัวผู้เสียหายด้วย
ทั้งนี้ ภายหลังการสอบปากคำเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่เตรียมคุมตัว พ.ต.ต.คม ไปขออำนาจศาลฝากขังศาลอาญาพระโขนง แต่ในระหว่างจะคุมตัวออกจากห้องสอบสวน พ.ต.ต.คม ได้ตะโกนพูดคุยกับสื่อมวลชนว่าถูกทำให้สูญเสียสิทธิเสรีภาพ ทั้งที่ให้ความร่วมมือ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ย้ำเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ และใช้มือถือถ่ายตำรวจที่ควบคุมตัว จากนั้นตำรวจสนซบางนาพยายามควบคุมสถานการณ์พากลับเข้าไปในห้องสอบสวน
ด้าน พ.ต.อ.มนต์เสก ตระกูลพานิชย์ ผู้กำกับการ สน.บางนา เปิดเผยหลังทราบข้อกล่าวว่า จะพาตัวผู้ถูกกล่าวหาไปฝากขัง แต่ผู้ถูกกล่าวหายืนยันจะเดินทางไปด้วยตนเอง เนื่องจากเกิดเหตุขัดขืนจึงต้องจับกุมและคัดค้านการประกันตัว
หลังจากนั้นไม่นาน ตำรวจได้คุมตัว พ.ต.ต.คม ออกมาอีกครั้ง และมีการขัดขืนไม่ยอมขึ้นรถจะเดินทางไปศาลด้วยตัว จึงเกิดเหตุชุลมุนหน้าโรงพักอยู่ประมาณ 10 นาที ก่อนตำรวจจะล็อกตัวขึ้นรถตู้ออกไปศาลอาญาพระโขนงเพื่อขออำนาจฝากขัง. – สำนักข่าวไทย