สำนักข่าวไทย 30 ต.ค.-หมอประสิทธิ์ ย้ำเปิดประเทศจะปลอดภัยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลักที่จะหย่อนยานไม่ได้ ทั้งการเพิ่มจำนวนผู้รับวัคซีน มาตรการติดตามควบคุมกำกับดูแลต่างๆ และมาตรการส่วนบุคคล ห่วงแรงงานลักลอบเข้าไทย หากจับกุมได้ต้องเร่งฉีดวัคซีน
นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า ขณะนี้คนไทยบางส่วนกำลังกังวลกับเรื่องการเปิดประเทศ ไหนจะ 46 ประเทศที่จะเข้ามา การเปิดจังหวัดนำร่อง 17 จังหวัด, การเปิดภาคเรียน และการเปิดสถานบันเทิง ซึ่งทุกอย่างไล่เรียงกัน หรือแทบจะพร้อมๆ กัน แต่หากดูสถานการณ์ตัวเลขติดเชื้อโควิด-19 ในขณะนี้ จะพบว่าต่างกับ 2-3 เดือนที่ผ่านมา โดยตัวเลขผู้รับวัคซีน คาดว่าภายในเดือน พ.ย. อัตราการฉีดวัคซีน เข็ม 1 จะได้ 60% ส่วนวัคซีนเข็ม 2 จะได้ 43% อีกทั้งนโยบายการฉีดวัคซีนที่ผ่านมา มีการฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงไปแล้วถึง 80% จุดนี้เชื่อว่าจะทำให้สถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น อัตราการป่วยติดเชื้อรุนแรง เสียชีวิตลดลง โดยขณะนี้ตัวเลขผู้ป่วยหนักใส่ท่อช่วยหายใจลดลงเรื่อยๆ และทั่วโลกเองก็คาดการณ์ว่า ท้ายที่สุดโควิด-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น เหมือนไข้หวัดใหญ่
นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า เมื่อมีการเปิดประเทศขึ้น ต้องปฏิบัติมาตรการ 3 อย่างนี้อย่างเคร่งครัด ไม่ควรตกหล่น หรือหย่อนยานมาตรการใดมาตรการ 1 หรือดีเพียงส่วนเดียวก็ไม่ได้ ได้แก่
- ลดความรุนแรงด้วยการฉีดวัคซีน โดยขณะนี้อัตราการฉีดวัคซีนของไทยภาพรวม 73 ล้านโดส และมีการฉีดวัคซีนอย่างรวดเร็ว และสม่ำเสมอ ส่วนนี้ถือว่าทำได้ดี ช่วยลดอัตราป่วยหนัก และเสียชีวิต
- ลดความรุนแรงด้วยการบริหารจัดการอย่างเคร่งครัด มีมาตรการตรวจสอบผู้เดินทางจาก 42 ประเทศมาตั้งแต่ต้นทางก่อนขึ้นเครื่อง และมีการตรวจ RT-PCR และต้องกำหนดมาตรการกำกับดูแลใน 17 จังหวัดนำร่องอย่างเคร่งครัด หากพบการป่วยติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งการป่วยหนัก อัตราการใส่ท่อช่วยหายใจ หรือสัดส่วนแนวโน้มการรับมือในสถานพยาบาลส่อเกินศักยภาพ หรือการพบคลัสเตอร์ใหม่จำนวนมากขึ้น อย่ารีรอ ต้องหยุดกิจกรรมนั้นทันที เนื่องจากมีการเปิดประเทศ มีคนเดินทางท่องเที่ยว ย่อมต้องมีการจ้างงานเกิดขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง ฝ่ายปกครอง และแรงงาน ต้องกวดขัน การลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายตรมแนวชายแดน แม้คนส่วนนี้เข้ามาเป็นแรงงาน แต่ก็ไม่ได้มีการฉีดวัคซีน เมื่อมีการจับกุมได้ก็ต้องให้ได้รับวัคซีนด้วย เพื่อป้องกันการวนเวียนหนีกลับเข้ามาในประเทศไทย
- มาตรการส่วนบุคคลก็ต้องเคร่งครัด ห้ามมีการหย่อนยานเด็ดขาด คนทุกคนล้วนเป็นทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการ โดยคนทั่วไปต้องเคร่งครัดส่วนหน้ากากอนามัย ล้างมือ มีระยะห่าง และรับวัคซีนให้ครบ ส่วนคนที่ทำงานหน้าที่ให้บริการ ก็ต้องสวมหน้ากาก ล้างมือ และรับวัคซีน เพิ่มการตรวจ ATK สัปดาห์ละ 1 ครั้ง หากมีการป่วยต้องหยุดทันที
ส่วนการเปิดสถานบันเทิง นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ยอมรับว่ามีความเสี่ยง เพราะเป็นสถานที่แออัด อากาศไม่ถ่ายเท และพฤติกรรมคนดื่ม ไม่มีใครสวมหน้ากาก หรือนั่งกอดอกอยู่แล้ว ทุกคนต้องดื่มและพูดคุย ดังนั้นหวังว่าบทเรียนในสถานบันเทิงจะเป็นเครื่องเตือนใจ และพื้นที่ที่กำกับดูแล ต้องเคร่งครัดด้วย
ทั้งนี้ เชื่อว่าหลังจากเปิดประเทศไม่เกิน 1 เดือน หรือในเดือนพฤศจิกายน จะรู้ผลว่ามีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อกลับมาเพิ่มขึ้นหรือไม่ ส่วนเกณฑ์การจะกลับมาปิดหรือหยุดกิจกรรมในพื้นที่นั้น จะดูเรื่องของจำนวนผู้ป่วยหนัก ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ และจำนวนผู้ป่วยเสียชีวิต หากการรักษาเกินขีดความสามารถของสถานพยาบาลก็ต้องหยุดทันที แต่เชื่อว่าสถานการณ์จะไม่รุนแรงหรือเหมือนที่ผ่านมา พร้อมยกตัวอย่างในประเทศสิงคโปร์ ที่เมื่อมีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อกลับมาเพิ่มสูงขึ้น ก็ยังไม่ผ่อนคลายมาตรการต่างๆ เพราะการหยุดยาวจะเป็นการทำให้จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อกลับมาเพิ่มสูงขึ้น ที่ผ่านมาประสบการณ์ของไทย ตั้งแต่มีโควิด ไทยมีการเปิด-ปิดเมืองรวมแล้ว 6 ครั้ง และครั้งแรกผ่อนแบบค่อยเป็นค่อยไป ส่วนจะมีการฉลองเทศกาลปีใหม่ 2565 หรือไม่ ก็ต้องรอผลการติดเชื้อในเดือน พ.ย. ก่อน.-สำนักข่าวไทย