กรุงเทพฯ 8 เม.ย. – กรมอุทยานฯ ส่งมอบ “ก็อตซิลล่า” ลิงแสมอ้วนไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลสัตว์คริสตัล เพ็ท โดยทางโรงพยาบาลจะออกค่ารักษาทั้งหมด แต่ไม่สามารถนำไปโปรโมทและส่งต่อให้ผู้อื่นดูแลแทนได้ เมื่อรักษาจนหายดีแล้ว ต้องส่งคืนกรมอุทยานฯ
นายสัตวแพทย์ภัทรพล มณีอ่อน หรือหมอล็อต หัวหน้ากลุ่มงานจัดการสุขภาพสัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า ได้ย้าย “น้องก็อตซิลล่า” ลิงแสมอ้วนไปยังโรงพยาบาลสัตว์คริสตัล เพ็ท ซึ่งต้องอยู่ที่ย่านรามอินทราแล้ว โดยจัดทำบันทึกการส่งมอบ-รับมอบสัตว์ป่าเพื่อการรักษาพยาบาล ที่ลงนามโดยสัตวแพทย์หญิงมัชฌมณ แก้วพฤหัสชัย หัวหน้าศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าที่2 (กระบกคู่) กับนายสัตวแพทย์ศุภเสกข์ ศรจิตติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่เสนอตัวแบ่งเบาภาระของทางราชการ โดยยืนยันว่าจะไม่นำสิงตัวดังกล่าวไปหาผลประโยชน์ใดๆ ไม่นำไปใช้เพื่อการโปรโมท หรือทำการใดๆ เกี่ยวกับอาหารสัตว์ สำหรับภาระค่าใช้จ่ายสำหรับลิงตัวดังกล่าว ทางโรงพยาบาลสัตว์คริสตัล เพ็ทจะจัดแผนการรักษาที่ประกอบด้วยการปรับโภชนาการและออกกำลังกาย โดยออกค่าใช้จ่ายเอง
หมอล็อตกล่าวต่อว่า ระหว่างการรักษา ทางกรมอุทยานฯ จะร่วมดูแลโดยตลอด ทั้งนี้ผู้เลี้ยงเดิมสามารถเข้าเยี่ยมได้ แต่ทางโรงพยาบาลไม่สามารถส่งมอบให้ผู้อื่นดูแลลิงแทนได้ เมื่อรักษาหายและมีสุขภาพดีแล้ว ต้องส่งคืนน้องก็อตซิลล่าให้กลับมาอยู่ในความดูแลของกรมอุทยานฯ
ส่วนที่มีคนจำนวนมากเรียกร้องให้กรมอุทยานฯ แก้ปัญหาลิงรบกวนคนซึ่งมีอยู่หลายที่ โดยเฉพาะที่ลพบุรี เพจ “ใจประเสริฐเพ็ทคลินิก” คลินิกรักษาสัตว์แห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ได้โพสต์ว่า “ทำไมเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ไม่เข้าไปยึดลิงดังกล่าวบ้าง เนื่องจากลิงลพบุรีมักก่อเหตุสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน โดยระบุข้อความว่า “เห็นล่าสุดหน่วยงานของทางกรมอุทยานฯ ขยันทำงานตามกฎหมายมากเลย ที่รับน้องก็อดซิลล่า มาดูแล ในฐานะที่น้องมีสภาพเป็นสัตว์ป่าไม่สามารถนำมาเพาะเลี้ยงในเมืองได้ ตอนนี้ชาวอำเภอเมืองลพบุรี ลำบากมากเลยครับ ลิงเหล่านี้มีสภาพเป็นสัตว์เลี้ยงตามกฎหมายหรือเปล่าครับ ถึงไม่ได้เข้ามาทำหน้าที่ ไม่ได้เข้ามารับผิดชอบเลยเลย ตึก สิ่งปลูกสร้างที่เสียหาย ประกอบกิจการใดๆ ไม่ได้ ผู้คนที่ถูกลิงที่มีสถานะเป็นสัตว์ป่าทำร้ายร่างกายทรัพย์สิน เรียกร้องค่าเสียหายกับหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบ แต่ไม่ออกมาทำหน้าที่ตามกฎหมายได้ไหมครับ”
นายนิธิ อาจสมรรถ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1 สาขาสระบุรี กล่าวว่า กรมอุทยานฯ ดูแลแก้ไขโดยตลอด แต่ปัญหานี้เกิดขึ้นมานาน โดยเฉพาะลิงที่ลพบุรีมีเป็นจำนวนมาก อาศัยหลายจุด เมื่อมารวมกันจึงสร้างความเดือดร้อน แนวทางแก้ปัญหาเริ่มจากการทำหมันเพื่อควบคุมประชากรลิง ส่วนเรื่องอาหารและพฤติกรรมซึ่งเคยมีการยกพวกตีกันเพื่อแย่งนมเปรี้ยว เจ้าหน้าที่นำลิงที่นิสัยก้าวร้าวออกไปจากพื้นที่ สำหรับการที่ลิงบุกบ้านเรือนและอาคารพาณิชย์ต้องยอมรับว่า ลิงอยู่ที่นี่มานานแล้ว เมื่อมีสิ่งปลูกสร้างเข้ามาก็ย่อมมีอาหาร มันจึงเข้าเข้าไป บางคนเข้าใจ แต่บางคนก็ไม่เข้าใจ
การระบาดของโรคโควิด-19 ยังส่งผลกระทบเพราะอาหารมาจากนักท่องเที่ยวน้อยลง ลิงจึงออกหาอาหารตามบ้านเรือน จุดกระจายอาหารของกรมอุทยานฯ ตามพื้นที่ที่ลิงอยู่ก็ไม่ทั่วถึง เพราะเป็นพื้นที่เอกชน บางจุดวางอาหารได้ บางจุดวางไม่ได้ซึ่งเป็นปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้
นายนิธิกล่าวต่อว่า บางคนเสนอให้ย้ายลิงไปไว้ที่อื่น ก็ไม่ทราบจะนำไปไว้ที่ใด เพราะมีจำนวนมาก หากนำไปปล่อยป่าจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและการใช้ชีวิตของสัตว์ป่าอื่นๆ เพราะลิงพวกนี้อยู่ได้เพราะมีคนให้อาหารตลอด นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบด้านความเชื่อเพราะศาลพระกาฬที่คนนับถือมีลิงอาศัยอยู่ตามตำนาน
กรมอุทยานฯ สำรวจประชากรลิงที่จังหวัดลพบุรีมี 9,528 ตัว ทำหมันแล้ว 3,352 แล้ว ตั้งเป้าหมายในปีนี้ทำหมันเพิ่มอีก 4,500 ตัว เพื่อให้ได้เป็น 80% ของประชากรลิงทั้งหมด จึงจะควบคุมประชากรได้อย่างมีนัยสำคัญ แบ่งเป็น พ.ศ. 2564 มีเป้าหมาย 2,500 ตัว พ.ศ. 2565 มีเป้าหมาย 1,500 ตัว พ.ศ. 2566 มีเป้าหมาย 900 ตัว แต่อุปสรรคคือ ลิงเป็นสัตว์เรียนรู้เร็ว เมื่อเจ้าหน้าที่ไปวางกรงดักเพื่อนำมาทำหมัน มันสามรถจดจำได้ พอไปอีกครั้ง ก็หลบซ่อน เจ้าหน้าที่ต้องปรับเปลี่ยนเทคนิคและวิธีการจับตลอด ทำให้ไม่ได้ตามเป้าหมาย จึงอยากให้สังคมเข้าใจว่า กรมอุทยานฯ ดำเนินการมาตลอด แต่ปัญหาของลิงที่ลพบุรีที่สะสมมายาวนาน การแก้ปัญหาต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป. – สำนักข่าวไทย
