เฒ่าหัวร้อน ทะเลาะยิงน้องชายดับคาบ้าน

เฒ่าหัวร้อน ทะเลาะยิงน้องชายดับคาบ้าน

แพร่ 13 มี.ค. – เฒ่าวัย 79 ปี หัวร้อน ทะเลาะกับน้องชายและหลาน สุดท้ายถึงขั้นยิงน้องชายเสียชีวิต ถูกตั้ง 2 ข้อหา แต่ยังสอบสวนอะไรไม่ได้มาก เพราะผู้ต้องหามีอาการป่วยกำเริบ ต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลรักษา


พ.ต.ท.ปกิต ผัดขัน พนักงานสอบสวน สภ.เมืองแพร่ รับแจ้งเหตุยิงกันที่ บ้านนาจักร อำเภอเมืองแพร่ จึงประสานสายตรวจตำบลนาจักร เข้าตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่กู้ภัย เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ เป็นบ้านปูนชั้นเดียว มีชาวบ้านมุงดูจำนวนมาก ที่หน้าบ้านพบนายวิเชียร กาศเกษม อายุ 68 ปี ได้รับบาดเจ็บที่ชายโครงด้านขวา มีรอยกระสุน 9 รู อาการสาหัส เจ้าหน้าที่เร่งช่วยเหลือปั๊มหัวใจทำ CPR และรีบนำส่งโรงพยาบาลแพร่ สุดท้ายเสียชีวิตที่โรงพยาบาลแพร่ ส่วนที่เกิดเหตุพบนายชวน สุวรรณกาศ อายุ 79 ปี ซึ่งเป็นพี่ชาย ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะและมือ

สอบถามนายศราวุธ จิตใจ อายุ 46 ปี ชาวบ้านที่อยู่ใกล้บ้าน ซึ่งมาถึงบ้านหลังเกิดเหตุคนแรก เล่าว่า ได้ยินเสียงปืนจึงรีบมาดู พบนายชวนยืนถือปืนลูกซองสั้นไทยประดิษฐ์อยู่ เพื่อนอีกคนที่มาด้วยเป็นตำรวจจึงรีบแย่งปืนออกมาเก็บไว้ก่อนพร้อมกระสุน 2 นัด


สอบถามหลานวัย 19 ปี ที่ดูแลนายชวน เล่าว่า เห็นปืนกระบอกนี้นานแล้ว นายชวนเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า ทั้งสองคนทะเลาะกันบ่อยครั้ง นายชวนมักคิดว่านายวิเชียรเอายาไปซ่อน ซึ่งความจริงแล้วนายชวนลืมเองว่าเอายาไว้ที่ไหน เมื่อคืนตนเองไม่สบาย นายชวนบอกให้เอาของออกไปทิ้งให้ เลยบอกว่าลุกไม่ไหว พรุ่งนี้เช้าจะเอาไปทิ้งให้ จากนั้นนายชวนก็เอาของขว้างใส่และถือมีดเข้ามา จึงตะโกนเรียกนายวิเชียรให้มาช่วย นายวิเชียรหยิบไม้ถูพื้นดันคอนายชวนไว้และรีบแย่งมีดมา ตนเองจึงหนีไปนอนอีกบ้านหนึ่ง ไม่ทราบเหตุการณ์หลังจากนั้น มาทราบอีกครั้งตอนเช้าว่ามีเหตุยิงกันที่บ้าน

ด้านลูกสาวนายวิเชียรบอกว่า รับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจาก นายวิเชียรเป็นคนดูแลนายชวนซึ่งเป็นพี่ชายป่วยมาหลายปี ทำงานไม่ได้ ครอบครัวก็ไม่มี แต่นายชวนมาก่อเหตุแบบนี้ ต่อไปใครจะดูแล

พนักงานสอบสวน ระบุว่า เบื้องต้นผู้ต้องหายังไม่ให้การใดๆ ส่วนปืนที่ใช้ก่อเหตุเป็นปืนลูกซองสั้น ขณะที่เกิดเหตุนายชวนพยายามจะใช้กระสุนที่เหลือ 3 นัด ยิงตัวเอง แต่ปลอกกระสุนนัดที่ยิงออกไปแล้วยังค้างอยู่ในลำกล้อง ทำให้ปลอกกระสุนไม่กระเด็นออกมา ขณะนี้นำตัวผู้ต้องหามาไว้ที่ สภ.เมืองแพร่ เพื่อสอบสวนถึงสาเหตุที่แท้จริงอีกครั้ง เบื้องต้นตั้ง 2 ข้อหา คือ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเป็นคนลงมือยิงน้องชายด้วยตัวเอง


และเมื่อช่วงบ่าย นายชวนป่วยกะทันหัน สภาพร่างกายอ่อนแอ จึงประสานเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลแพร่เข้ามาตรวจสอบ พบว่ามีความดันโลหิตสูง จึงนำตัวนายชวนเข้ารักษาที่โรงพยาบาลแพร่ หวั่นเป็นอันตราย เพราะผู้ต้องมีโรคประจำตัวหลายโรค. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง