“เนตร” ยันสั่งไม่ฟ้องคดี “บอส” เป็นไปตามสำนวน

รัฐสภา 13 ส.ค.- “เนตร นาคสุข” โผล่แจง กมธ.สภา ยันสั่งไม่ฟ้อง “วรยุทธ อยู่วิทยา” ตามพยานหลักฐาน ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ แจงลาออก เพื่อรักษาภาพลักษณ์องค์กรอัยการ นายบอส แจงเหตุมาชี้แจงไม่ได้ เพราะถูกยกเลิกพาสปอร์ต ยันไม่มีถิ่นที่อยู่ในไทย “พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ” ยันสั่งคดีตามที่เห็นสำนวน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร มีนายสิระ เจนจาคะ เป็นประธานกรรมาธิการฯ ประชุมร่วมกับ คณะกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน สภาผู้แทนราษฎร มีนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ เป็นประธานกรรมาธิการฯ พิจารณาคดีนายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา โดยคณะกรรมาธิการฯเชิญผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจง อาทิ นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ถือเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกของนายเนตร ต่อสาธารณะ นอกจากนี้ยังมี พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) และนายสมัคร เชาวภานันท์ ทนายความของนายวรยุทธมาชี้แจงด้วย

นายเนตร นาคสุข ชี้แจงว่า การสั่งไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ เป็นไปตามที่พนักงานสอบสวนรวบรวมมาทั้งหมด ส่วนดุลพินิจที่ตนไม่ฟ้อง ไม่ได้สั่งนอกสำนวนเลย มีเอกสารหลักฐาน มีการระบุความเห็นในการสั่งคดีไว้ชัดเจน เหตุผลที่สั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธนั้น ได้พิจารณาสำนวน ดูว่าเดิมมีการสั่งคดีไว้อย่างไร ซึ่งครั้งแรกอัยการสั่งฟ้อง ตามความเห็นของ พ.ต.ท.ธนสิทธิ แตงจั่น ที่บันทึกความเร็วรถไว้ 177 กม./ชม. แต่เมื่อมีการสอบพยานใหม่ หลังมีการร้องขอความเป็นธรรม พบว่าผู้ให้ความเห็นความเร็วรถคนเดิม คือ พ.ต.ท.ธนสิทธิ เปลี่ยนคำให้การว่าความเร็วรถไม่ใช่ 177 กม./ชม. เพราะวิธีคิดไม่ตรงกัน


รองอัยการสูงสุด กล่าวว่า เมื่อคำนวณความเร็วรถใหม่ ทำให้ความเร็วรถลดลงเหลือแค่ 79 กม./ชม. ก็ไม่เกินที่กฎหมายกำหนด ประกอบกับมีพยานอื่นมาสนับสนุน ทั้งผู้เชี่ยวชาญ คือ นายสายประสิทธิ์ เกิดนิยม อาจารย์ประจำและหัวหน้าศูนย์วิจัยเฉพาะทางวิศวกรรมการประเมินและความปลอดภัยยานยนต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ยืนยันว่าความเร็วที่คำนวณจากภาพวิดีโอ ความเร็วแค่ 76 กม./ชม. ไม่ถึง 80 กม./ ชม.

นายเนตร กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีพยาน 2 ปากที่ได้จากการสอบสวน คือพล.อ.ท.จักรกฤช ถนอมกุลบุตร และ นายจารุชาติ มาดทอง ให้การว่าความเร็วรถของนายวรยุทธ ไม่ถึง 80 และพบว่าผู้ตาย เปลี่ยนเลนกะทันหัน จากซ้ายสุด มาขวาสุด เมื่อพยานให้การอย่างนี้ ความเร็วรถนายวรยุทธ ไม่เกิน 80 ก็เป็นเหตุสุดวิสัย และหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนกฎหมายฟ้อง นายวรยุทธ ในความผิดฐานขับรถชนโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จึงสั่งไม่ฟ้อง และเสนอไปยัง ผบ.ตร และมีการให้ความเห็นชอบ

รองอัยการสูงสุด กล่าวว่า ส่วนเหตุที่นายวรยุทธ ร้องขอความเป็นธรรมมาหลายครั้ง และทำให้มีการสอบสวนเพิ่มเติมใหม่จนต้องสั่งไม่ฟ้องนั้น ยืนยันว่าตามระเบียบอัยการไม่มีกำหนดว่าจะร้องได้กี่ครั้งเพราะเป็นสิทธิของผู้ร้องทั้งฝ่ายผู้ต้องหา ผู้เสียหาย และการพิจารณาให้ความเป็นธรรมนายวรยุทธ นั้น ก็มีการพิจารณามาเป็นลำดับชั้น ซึ่งกรณีนี้ สำนักงานกฤษฎีกาของสำนักงานอัยการ เสนอมาว่าเห็นควรพิจารณาให้ความเป็นธรรม


นายเนตร กล่าวว่า ได้ยื่นหนังสือลาออกจากอัยการตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม สาเหตุที่ลาออก เนื่องจากตนเป็นผู้สั่งคดีนี้ สังคมก็กดดันองค์กร ดังนั้น เพื่อความสบายใจของทุกคน จึงขอลาออก และเพื่อรักษาภาพลักษณ์องค์กร ที่ทำหน้าที่รับราชการเป็นอัยการอยู่ในองค์กรนี้มานาน 40 ปี

กรรมาธิการได้ซักถามอย่างมากว่าคดีนี้มีการปั้นพยานขึ้นมาหรือไม่ซึ่ง นายเนตร กล่าวว่า พยานที่ปรากฎเป็นไปตามสำนวนการสอบสวน ของพนักงานสอบสวนทั้งสิ้น ไม่มีข้อเท็จจริงนอกสำนวนคดี ส่วนดุลยพินิจในการสั่ง จะอยู่ในความเห็นและคำสั่งของตน

นายเนตร กล่าวว่า การสั่งไม่ฟ้องคดีบอสเป็นสำนวนที่ผ่านมาตามระบบตามลำดับชั้น และสั่งการว่าจะดำเนินการอย่างไร และตนเป็นคนสุดท้าย ซึ่งไม่ถึงอัยการสูงสุด ขณะที่สั่งหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงพิจารณาจากข้อเท็จจริงและหลักฐานจากคดีทั้งหมด ตนเห็นเป็นเหตุสุดวิสัย แต่ถ้าต่อมาภายหลังมีหลักฐานเพิ่มเติม ก็สามารถกลับคำสั่งฟ้องได้อีก

รองอัยการสูงสุด กล่าวว่า แม้สั่งไมฟ้องแต่ยังสอบสวนได้ ถ้าได้พยานหลักฐานใหม่ ให้อัยการพิจารณากลับคำสั่งได้ เป็นเรื่องธรรมดา เช่นที่มีบางคดีก็กลับเป็นสั่งฟ้องดำเนินคดีต่อไป ยืนยันว่าสั่งในฐานะรองอัยการสูงสุด ได้ทุกคดีและทุกศาล และคดีของบอสเห็นว่าเป็นกรณีต่างคน ต่างประมาท

นายสิระ ขอให้นายเนตร ยืนยันเรื่องไม่มีผลประโยชน์ และพร้อมให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) เช็คเส้นทางการเงิน ซึ่งนายเนตร ยืนยันพร้อมให้ตรวจสอบเส้นทางการเงิน และไม่มีเรื่องการหยิบสำนวนมาสั่ง

ส่วนเหตุผลที่ รายงานของ สนช.เข้าไปอยู่ในสำนวนการสอบสวนนั้น นายสมัคร เชาวภานันท์ ชี้แจงต่อกรรมาธิการว่า ไปร้องขอความเป็นธรรมกับพนักงานสอบสวนให้ใส่รายงานของ สนช.ไว้ในสำนวนสอบสวน

นายสมัคร กล่าวว่า บอสไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย และมีหนังสือส่งมายังกรรมาธิการแจ้งว่า บอสมาชี้แจงต่อกรรมาธิการไม่ได้ เพราะถูกยกเลิกหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ต และยังไม่ได้ดำเนินการเรื่องพาสปอร์ต ขณะที่นายสิระ ระบุจะส่งหนังสือเชิญตามภูมิลำเนา และต้องได้รับการปฏิบัติตามกฎหมายฉบับเดียวกับคนไทยทุกคน

พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น นักวิทยาศาสตร์ สบ. 4 กลุ่มงานตรวจเคมีฟิสิกส์ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 1 สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ชี้แจงต่อกรรมาธิการว่า การคำนวณความเร็วรถครั้งแรกได้ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ที่ในสำนวนเป็น 76 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะเชื่อการคำนวณของนายสายประสิทธิ์ เกิดนิยม เพราะเห็นว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีชื่อเสียง ประกอบกับมีเวลาในการพิจารณาสำนวนน้อย จึงเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจ แต่ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้สั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาไปตรวจสอบ และพบว่าคลาดเคลื่อน ร้อยละ 40 ซึ่งได้ให้การต่อผู้บังคับบัญชาใหม่ว่า ความเร็วอยู่ที่ 177 กม./ชม. ตั้งแต่ปี 2559 จึงไม่ได้กลับคำให้การ

พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ กล่าวว่า ตนมาพบว่าเรื่องความเร็วรถที่ยืนยันกลับไปอีกครั้งว่าความเร็วอยู่ที่ 177 กม./ชม.ไม่ปรากฎในสำนวน ประกอบกับเข้าใจผิดว่าข้อหานี้ขาดอายุความแล้วจึงไม่ได้ตามเรื่อง และนายสายประสิทธิ์ เข้ามาเกี่ยวพันเรื่องความเร็วรถก่อนที่สนช.จะหยิบไปพิจารณา นอกจากนี้ ตนไม่เคยเข้าชี้แจงต่อกรรมาธิการของ สนช. แต่เหตุใดจึงมีคำชี้แจงของตนอยู่ในกรรมาธิการฯ

พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วยผบ.ตร. ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการฯ ว่า หลักคิดของตน คือจะทำในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักของกฎหมาย ตนไม่เลือกปฏิบัติ หลังจากได้เห็นสำนวนแล้ว ไม่มีสิทธิ์สั่งดำเนินการให้เป็นอย่างอื่นได้ จึงต้องเห็นชอบตามที่ผู้ตรวจสำนวนเสนอ และยอมรับว่าไม่ได้ดูสำนวนอย่างละเอียดทุกหน้า ส่วนข้อถกเถียงเรื่องความเร็วรถที่ไม่ตรงกัน ที่ได้รับฟังจากที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ วันนี้ ก็จะนำเสนอต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพิจารณาว่าจะหาข้อพิสูจน์อย่างไรเพราะ เมื่อได้ฟังการชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ตกใจว่า ทำไมกลับคำง่าย ไม่เป็นหลักของตนเอง คนที่มีอำนาจ หรือเงินมหาศาล ไม่น่าจะสั่งเราได้

ด้านนายเทพสุ บวรโชติดารา ผู้อำนวยการกองข่าวกรองทางการเงิน สำนักงาน ป.ป.ง. ชี้แจงว่าแม้นายเนตรจะยินยอมให้ตรวจสอบเส้นทางการเงิน ต่อกรรมาธิการ แต่ ป.ป.ง. ไม่สามารถตรวจสอบได้ เพราะจะต้องดำเนินการตามอำนาจของกฎหมาย

ทันตแพทย์ณรงค์ โพธิเกตุ หมอฟันของบอส ชี้แจงว่าได้ทำการรักษาฟันให้บอส ตั้งแต่ปี 2554 และเมื่อสิงหาคม 2555 ได้รักษาฟันที่มีอาการอักเสบ และได้จ่ายยาแก้อักเสบให้บอสรับประทานทุก 8 ชั่วโมง เมื่อชี้แจงเสร็จทันตแพทย์ณรงค์ ได้เดินทางกลับโดยปฏิเสธให้สัมภาษณ์ กล่าวเพียงว่า ให้ไปสอบถามจากแพทยสภา.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]