“โรม” จัดหนักพุ่งเป้า “นายใหญ่”

โรมอภิปรายนายใหญ่

รัฐสภา 25 มี.ค.-“โรม” จัดหนักชั่วโมงกว่า พุ่งเป้า “นายใหญ่” สงสัย “นายกฯ แพทองธาร” ดีลปีศาจพาพ่อกลับบ้านหรือไม่ ท้าตอบคำถามเอง ในฐานะประจักษ์พยานเห็นเหตุการณ์มากที่สุด


ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระพิเศษ ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ทำหน้าที่ประธานในการประชุม

นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ลุกอภิปรายในหัวข้อชั้น 14 ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงว่า ตนมีพยานหลักฐานสำคัญที่สามารถยืนยันได้ว่ากรณีชั้น 14 มันหลวงโลกอย่างไร พยานหลักฐานไม่ใช่ใครอื่น แต่คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับนายใหญ่มากที่สุดกว่าใครในห้องประชุมนี้ นายกรัฐมนตรีคือประจักษ์พยานที่ยืนยันความจริงทั้งหมด ตอนแรกเป็นแค่ประจักษ์พยาน แต่ต่อมานายกรัฐมนตรีกลายเป็นตัวการสำคัญในการกระทำความผิดต่อกฎหมายบ้านเมือง ที่มีโทษฐานที่รุนแรง ท้ายที่สุดคือขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี


นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ขอย้อนกลับไปก่อนวันที่ 22 ส.ค. 2566 วันที่นายใหญ่กลับบ้าน นายกรัฐมนตรีสามารถชี้แจงได้หรือไม่ว่าสุขภาพของนายใหญ่เป็นอย่างไร เพราะเราเองก็ต้องไม่ลืมว่าผู้ให้กำเนิดนายกรัฐมนตรี เขาอายุ 74 ปีแล้ว มีโอกาสที่จะเจ็บป่วย ไม่สบายได้ แต่เมื่อเปิดคลิปวิดีโอคำสัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 ส.ค.2566 ระบุว่า คุณพ่อตรวจสุขภาพปีละ 2 ครั้ง ก่อนกล่าวว่า คำพูดของนายกรัฐมนตรีเป็นสิ่งยืนยันว่าก่อนที่นายใหญ่จะกลับมา นายใหญ่คนนี้มีสุขภาพดีอย่างแน่นอน หากมีปัญหาสุขภาพ ตนมั่นใจว่านายกรัฐมนตรีคงจะใช้โอกาสนี้สื่อสารกับสังคม

นายรังสิมันต์ ตั้งคำถามว่าอะไรทำให้นายใหญ่ต้องไปขึ้นเขียงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจถึง 180 วัน มันต้องมีปัจจัยอะไรบางอย่างที่จู่ๆ ทำให้คนสุขภาพดี ได้รับการดูแลรักษาที่ดูไบเป็นอย่างดี ราวกับสลุต่านถึงได้ล้มป่วยกะทันหันขนาดนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาการป่วยคงจะอยู่ในช่วงเวลาที่นายใหญ่เดินทาง

นายรังสิมันต์ ระบุว่า จุดเดียวที่น่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด คือจะต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในเรือนจำ เรื่องนี้ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้ เราต้องไม่ลืมว่าวันนั้นที่นายใหญ่กลับสู่ประเทศไทย คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร และนายเศรษฐา ทวีสิน ยังไม่ได้เข้าทำหน้าที่


“พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามายึดอำนาจจากน้องสาวนายทักษิณ เคยว่ากล่าวเสียหายหลายอย่าง บางครั้งได้ยินชื่อทักษิณ ก็ปรี๊ดควันออกหู เดินทิ้งโพเดียม นอกจากนั้น ที่ทุกวันนี้เราเรียก พ.ต.ท.เป็นคำนำหน้านายทักษิณไม่ได้อีกแล้ว ก็เป็นเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ เราต้องไม่ลืมว่าวันนั้น คนที่ดูกระทรวงยุติธรรมไม่ได้ชื่อสมศักดิ์ เทพสุทิน เพราะได้ลาออกเพื่อย้ายไปอยู่กับพรรคเพื่อไทยแล้ว ทำให้ผู้ที่รักษาการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้นมีชื่อว่าวิษณุ เครืองาม ซึ่งเป็นเนติบริกรให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ มาโดยตลอด” นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ไม่คิดว่ามันแปลกหรือ ขนาดวันที่น้องสาวของตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรียังกลับมาไม่ได้ มันเป็นเพราะดีลที่ น.ส.แพทองธาร ไปทำมาหรือไม่ เพราะดีลลังกาวีหรือไม่ มีบิ๊กสีอะไรหรือไม่เป็นผู้เกี่ยวข้อง จึงทำให้นายใหญ่มั่นใจว่าครั้งนี้กลับมาประเทศไทยได้ นอกจากนี้ บทบาทของ น.ส.แพทองธาร แม้วันนั้นจะไม่ใช่หัวหน้าพรรค แต่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และเป็นหัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการหาเสียงให้กับพรรคตัวเอง การที่ท่านได้ออกมาขานรับสนับสนุนแนวทางในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคการเมืองที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ในวันที่กลับมา นายใหญ่ยังมีคนไปรอต้อนรับราวกับว่านี่คือนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งทำภารกิจต่างประเทศเสร็จ กลับมาแล้วก็ไม่มีการควบคุมตัว ตำรวจไปต้อนรับ ช่วยจัดระเบียบให้ทุกอย่างสมูทด้วยซ้ำไป

ทำให้นายศาสตรา ศรีปาน สส.สงขลา พรรครวมไทยสร้างชาติ ลุกประท้วง ขออย่าพาดพิงบุคคลภายนอก เดี๋ยวการประชุมจะไม่ราบรื่น นายรังสิมันต์ จึงแย้งว่า เรื่องชื่อเป็นเรื่องจำเป็น ตนไม่ได้มีการปิดกั้นข้อมูลแต่อย่างใด ยืนยันว่าทุกอย่างจะอยู่บนข้อมูล ไม่ได้เสริมเติมแต่ง

นายพิเชษฐ์จึงวินิจฉัยว่า ขอให้พยายามหลีกเลี่ยง นายรังสิมันต์ ถึงใช้คำว่า “ไอ้โม่ง” จังหวะนี้ ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ก็ร่วมประท้วงด้วยว่า อย่าเสียดสี อย่าทำให้คนรู้สึกว่าด้อยค่าความเป็นมนุษย์

นายรังสิมันต์อภิปรายต่อว่า ไอ้โม่ง 2 ตัว ใจดี ลด แลก แจก แถมด้วยการให้บิดาของ น.ส.แพองธาร ออกจากเรือนจำ เพื่อรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจได้ ทุกอย่างที่เคยสัญญาไว้กับประชาชนเป็นคำโกหก ไม่มีความหมายอีกแล้ว เพราะวันนี้พ่อได้กลับบ้านแล้ว นี่คือดีลแลกประเทศ ที่นายกรัฐมนตรีสมคบให้เกิดขึ้น เพื่อช่วยเหลือพ่อตัวเองไม่ให้นอนคุกแม้แต่วันเดียว จุดเริ่มต้นของชั้น 14 มันจึงเป็น ดีลปีศาจ เพื่อพาพ่อกลับบ้าน

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า แผนที่เตรียมไว้ คือแผนที่อดีตนายกฯ จะต้องไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว แต่ตนแอบไปทราบมาว่า น.ส.แพทองธารรู้ว่านายใหญ่จะเหลือโทษจำคุกอีก 1 ปี ในคืนหลังกลับถึงประเทศไทยแล้ว ถ้ารู้ล่วงหน้านานกว่านี้ การเตรียมการทั้งหลายมันจะดีกว่านี้ การเล่นละครถึงจะสมจริงกว่านี้ ไม่ต้องมาขายผ้าเอาหน้ารอดกันแบบนี้ หลังจากนั้นกรมราชทัณฑ์ได้แถลงใหญ่โต ว่านายทักษิณตรวจพบ 4 โรค คือหัวใจขาดเลือด ปอดผิดปกติ ความดันสูง และกระดูกสันหลังเสื่อม จัดอยู่ในกลุ่มเปราะบาง จากการแถลงตรงนี้มันส่อพิรุธ เพราะจากที่ น.ส.แพทองธารให้สัมภาษณ์ ทำไมมาถึงได้สวนทางกันขนาดนี้ทั้งที่ห่างกันแค่เพียง 2 วัน

จากนั้น ทพญ.ศรีญาดา ประท้วงว่าข้อมูลไม่ครบ นายรังสิมันต์ไม่ใช่แพทย์ ไม่สามารถวินิจฉัยโรคในสภาแห่งนี้ได้ และมี พ.ร.บ.คุ้มครอง ข้อมูลสุขภาพส่วนตัวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น การที่จะเอาข้อมูลสุขภาพอภิปราย มีโอกาสที่จะไม่ครบถ้วน จึงอยากให้ประธานช่วยควบคุม

ทำให้นายพิเชษฐ์วินิจฉัยว่ามันเป็นข้อกล่าวหา ประชาชนฟังอยู่ แต่ ทพญ.ศรีญาดา กล่าวว่า เข้าใจแต่มันซ้ำซาก ไม่เข้าใจว่าไม่วัตถุประสงค์ในการเอาเข้ามา ผู้ป่วยที่พูดถึงก็หายแล้ว นายรังสิมันต์จึงถามว่าหายแล้วตอนไหน ก่อนที่นายพิเชษฐ์จะปิดไมค์ ทพญ.ศรีญาดาทันที และตัดบทว่า เป็นข้อกล่าวหา ประชาชนอยู่ที่บ้านพิจารณาอยู่

ต่อมานางนุชนาถ จารุวงษ์เสถียร สส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย ประท้วงว่า นายรังสิมันต์ชอบเอ่ยชื่อโดยไม่จำเป็น “ท่านเอ่ยชื่อนายกฯ ทักษิณ ทำให้คนอีสานซาบซึ้งมากยิ่งกว่าเดิมค่ะ” ทำให้นายพิเชษฐ์ปิดไมค์นางนุชนาถ พร้อมวินิจฉัยว่ายังอยู่ในประเด็น ย้ำว่าวันนี้เรามีเวลาน้อยมากขอให้รักษาเวลาในแต่ละฝ่าย

แต่นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ไม่ยอม ประท้วงบ้างว่า นายพิเชษฐ์ว่าพูดเรื่องเวลา มันไม่ถูก เมื่อคืนเหลืออยู่ 3 ชั่วโมง แต่นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน เมื่อวานนี้ก็จบไป แต่วันนี้ต้องรักษาเวลาทุกฝ่าย

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า กรณีนี้ไม่ต่างอะไรกับนักโทษแหกคุก และดีลนี้ยังรวมไปถึงการที่คณะรัฐประหาร และ น.ส.แพทองธาร ได้ขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะแต่รายคน ซึ่งตามระเบียบแล้วคนที่สามารถขออภัยโทษได้คือตัวนักโทษเองและคนในครอบครัว แต่ น.ส.แพทองธาร ได้กระทำการอกตัญญู โดยการปล่อยให้บิดาของตัวเองช่วยเหลือตัวเองในการร้องขออภัยโทษ

จังหวะนี้ ทพญ.ศรีญาดา ลุกขึ้นประท้วงทันที ว่านายรังสิมันต์เป็น สส.เคยอ่านข้อบังคับเรื่องจริยธรรมหรือไม่ “จะต้องมีความเมตตา เห็นใจว่าถ้าลูกสาวคนหนึ่งที่คุณพ่อป่วย ท่านมาอภิปรายเรื่องที่รถพยาบาลไปเร็วเกินไป มีที่ไหนคะ ทำอย่างนี้ประชาชนที่ฝั่งที่บ้านเขางงว่าตกลงแล้ว เราอยากให้คนป่วยหายหรือไม่ สิ่งนี้ท่านควรจะมีและการที่ใช้คำว่าอกตัญญู การใช้คำพูดของฝ่ายค้านบางครั้งรุนแรงเกินไปเขาเรียกว่าใส่ร้าย และที่สำคัญคืออาฆาตมาดร้าย ผิดจริยธรรมนะคะ อย่าใส่ความคิดส่วนตัวเกินไป ขอให้ช่วยถอนคำพูด”

แต่นายพิเชษฐ์ วินิจฉัยว่า ไม่มีปัญหา ยังอยู่ในประเด็น แต่ ทพญ.ศรีญาดา ไม่ยอม เพราะถือเป็นความผิดร้ายแรง นายพิเชษฐ์ จึงกล่าวว่าเขากล่าวหา มันใช้เวลาเยอะถ้าประท้วง

นายรังสิมันต์ จึงกล่าวว่า “ผมถอนให้ก็ได้ ท่านศรีญาดาใจเย็นๆ ขอถอนคำว่าอกตัญญู เปลี่ยนเป็น กตัญญูน้อยก็แล้วกัน” ก่อนจะอภิปรายต่อ โดยเปิดคลิปสัมภาษณ์ น.ส.แพทองธาร ที่ให้จัดการทำเรื่องอภัยโทษเอง ทั้งที่อยู่ในโรงพยาบาลแล้ว 7 วัน

“ท่านนายกรัฐมนตรี ท่านต้องรู้ทันต้องเห็น ท่านไม่เห็นเหรอครับ ว่าพ่อป่วยหนักขนาดไหน ผมมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพ่อของท่านอยู่นะ ในคลิปที่ท่านให้สัมภาษณ์ก็เพิ่งไปเยี่ยมพ่อมา ท่านไม่เห็นเหรอครับว่าพ่อของท่านป่วยจนรอเคาะโลงแล้ว ท่านจะมาให้พ่อของท่านเตรียมเอกสาร เพื่อขอยื่นฎีกาอภัยโทษด้วยตนเองจริงหรือ หากทำไปแล้วพ่อป่วยหนักมากยิ่งขึ้น จะให้ทำอย่างไรใครจะรับผิดชอบ” นายรังสิมันต์ กล่าว

จากนั้น ทพญ.ศรีญาดา ประท้วงอีกว่า ขอให้นายรังสิมันต์เอาสไลด์ที่เขียนข้อความรุนแรงลง โอ้โฮ ตนไม่อยากจะอ่านเลย แต่นายพิเชษฐ์ ถามกลับว่าผิดตรงไหน ทพญ.ศรีญาดา จึงกล่าวว่า มันมีคำพูดมากกว่าอกตัญญู

นายรังสิมันต์ จึงตอบโต้กลับว่า ทพญ.ศรีญาดา น่าจะมีปัญหาสุขภาพ ทพญ.ศรีญาดา ก็ต่อทันทีว่า ท่านจะอภิปรายต้องมีจริยธรรมด้วย ตนมองเห็นว่าถ้าไม่มีจริยธรรม ท่านเอาสิ่งที่เป็นความเห็นของท่านไปตัดสินคนอื่น ก่อนที่นายพิเชษฐ์จะปิดไมค์ ซึ่ง ทพญ.ศรีญาดา ก็ไม่ยอมหยุดพูด จนทำให้ น.ส.รภัสสรณ์ นิยโมสถ สส.ลำปาง พรรคประชาชน ลุกขอให้ประธานควบคุมการประชุม

นายรังสิมันต์ อภิปรายว่า วันนั้นนายใหญ่ป่วยปางตาย จะไปเฝ้ายมบาล ถึงขนาดโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีศักยภาพ นายกรัฐมนตรีไม่เห็นสภาพความเป็นจริงหรือว่าวิญญาณจะออกจากร่างแล้ว หรือความจริงเป็นการอุปโลกน์ขึ้นมา

นายรังสิมันต์ ยังยกรายงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ว่าหากป่วยในระดับวิกฤตจริง ควรจะต้องอยู่ในห้องสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินเท่านั้น ไม่ใช่ห้องผู้ป่วยพิเศษ ก่อนจะเปรียบเทียบกับผู้ป่วยคนอื่น ทำให้ ทพญ.ศรีญาดา ลุกขึ้นประท้วงอีกรอบ ระบุว่าอภิปรายออกนอกญัตติแล้ว ประธานต้องควบคุมให้อยู่ในญัตติด้วย แต่นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า นายรังสิมันต์แค่เปรียบเทียบ และตนเชื่อว่านายกรัฐมนตรีจะมาตอบได้

จากนั้นนายรังสิมันต์ อภิปรายต่อไป นายกรัฐมนตรีไม่รู้สึกเลยหรือว่ามีส่วนสำคัญในการฆาตกรรมความยุติธรรม ท่านได้ทำให้ความยุติธรรม พร้อมตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมช่วงที่นายใหญ่ป่วย นายกรัฐมนตรียังไม่ได้มีอาการเครียด เป็นห่วงพ่อแม้แต่น้อย

ช่วงหนึ่ง น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประท้วงว่าญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ให้พูดถึงการบริหารงานของนายกรัฐมนตรี แต่สิ่งที่นายรังสิมันต์กำลังพูดอยู่ขณะนี้ นอกจากเป็นการเสียดสีแล้ว ยังไม่ได้พูดถึงการทำงานในช่วงที่ น.ส.แพทองธารเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านเป็นเพียงบุตรสาวที่คุณพ่อป่วยอยู่ในโรงพยาบาล

ก่อนที่นายรังสิมันต์ จะย้ำว่า “ถ้าพ่อป่วยหนักปางตาย ลูกผีลูกคน จะตายแหล่ไม่ตายแหล่ มีหรือที่นายกรัฐมนตรีจะพูดแค่มีอาการเครียด อ่อนเพลีย ไม่สดชื่น ท่านนายกฯ คงจะพูดแช่งพ่อไม่ได้”

นายรังสิมันต์ ตั้งคำถามอีกว่า นายกรัฐมนตรีให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอยู่ในตำแหน่ง หนีบเก้าอี้ต่อไปได้ ทั้งๆ ที่เรื่องราวมันเหม็นคลุ้งจนคนในสังคมวิจารณ์กันไม่จบไม่สิ้น นอกจากนี้แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจยังได้รับการอวยยศในหน้าที่การงาน พร้อมตั้งคำถามว่าเป็นบทละครบทใหม่หรือไม่

ทำให้นายครูมานิตย์ ลุกขึ้นประท้วงว่า นายรังสิมันต์ กล่าวว่าคิดบทละครบทใหม่ ตนคิดว่าไม่เหมาะสม ด้านนางนุชนาถ ประท้วงอีกรอบว่า นายรังสิมันต์มีกิริยาวาจามารยาทไม่เหมาะสม “ร้องกู๋ แบบนี้ค่ะ ทุบโต๊ะด้วย นี่ไม่ใช่กิริยาหรือตลาดนัดนะคะ”

ต่อมา ประธานได้สลับกันทำหน้าที่มาเป็นนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาฯ คนที่สอง นายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประท้วงบ้างว่า ให้ประธานควบคุมการประชุมและถามนายรังสิมันต์ว่าปีศาจคือใคร แต่นายภราดรวินิจฉัยว่าอภิปรายต่อได้

นายรังสิมันต์ อภิปรายว่าราชทัณฑ์เคยแถลงว่า นายใหญ่อยู่ในสภาวะอันตรายแก่ชีวิต ในเมื่อราชทัณฑ์ยืนยันว่าไม่พ้นขีดอันตราย ตนก็อยากจะรู้ว่านายกรัฐมนตรี ในฐานะลูก กังวลหรือไม่ เครียดหรือไม่ จิตตกหรือไม่ ปรากฏว่าสิ่งที่พบเห็นในการติดตาม คือพบแต่ความสบายใจ ตนนึกว่านายกรัฐมนตรีจะสแตนด์บายรอดูใจ แต่กลับไปเที่ยวต่างประเทศ 2 ครั้ง

“ไหนพ่อกำลังจะม่องเท่ง ช่วงนั้นพ่อของท่านป่วยพะงาบๆ อยู่โรงพยาบาลตำรวจไม่ใช่เหรอครับ ไม่คิดจะไปเยี่ยมพ่อเลยหรือ นอกจากนี้ยังพบว่าท่านนายกรัฐมนตรีได้โพสต์ไอจี โดยระบุถึงการไปเล่นสกีที่ญี่ปุ่น เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก ราชทัณฑ์แถลงปาวๆ ว่าพ่อของท่านอยู่ในภาวะวิกฤต พร้อมวางดอกไม้จันทน์ จริงๆ ต้องมารอดูหน้าพ่อแล้วหรือไม่ เผลอๆ ต้องเตรียมจองวัดไว้ล่วงหน้าแล้ว” นายรังสิมันต์ กล่าว

ทำให้นางนุชนาถ ประท้วงทันทีด้วยอารมรณ์ว่า “จริงๆ ไม่อยากประท้วงเลย แต่ท่านพูดว่าวางดอกไม้จันทน์ จริงๆ วางให้ท่านก่อนนั่นแหละ ท่านโรม”

นายภราดร จึงวินิจฉัยว่า ลักษณะการเสียดสีแบบนี้ ขอให้ลดน้อยลง เพื่อรักษาบรรยากาศ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ทพญ.ศรีญาดา ก็ประท้วงอีก 2 รอบ ระบุว่า วนเวียน ขอให้อยู่ในญัตติ นอกจากนี้ยังหมิ่นประมาทและใส่ร้าย การใช้จินตนาการที่มากเกินไป จับแพะชนแกะ ขอให้ประธานควบคุมการประชุมด้วย นอกจากนี้ยังมีนายก่อแก้ขึ้นประท้วงอีกรอบ ถามเหมือนเดิมว่าปีศาจที่ดีลด้วยคือปีศาจตัวไหน

จากนั้น นายรังสิมันต์ ได้อภิปรายยาวไปจนครบเวลา 100 นาที.-312 -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

EOD เร่งกู้ระเบิดตกค้าง-พิสูจน์กลิ่นศพทหารกัมพูชา

สุรินทร์ 4 ส.ค. – ตลอดทั้งวัน ชุด EOD ตรวจสอบพื้นที่ตามแนวปะทะ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ พบวัตถุระเบิดและลูกกระสุนปืนใหญ่ตกค้างรวมกว่า 140 ลูก ใน 34 จุด ขณะที่กลิ่นศพทหารกัมพูชา ยังไม่ส่งผลกระทบฝั่งไทย แต่ชาวบ้านในพื้นที่ยืนยันมีกลิ่นจริง ตลอดทั้งวัน ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด หรือ EOD ของตำรวจตระเวนชายแดนที่ 21 และตำรวจภูธรพนมดงรัก รวมถึง ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ หรือ TMAC เข้าตรวจสอบพื้นที่ตามแนวปะทะใน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ หลังสถานการณ์ปะทะสงบลง โดยพบวัตถุระเบิดและลูกกระสุนปืนใหญ่ตกค้างรวมกว่า 140 ลูก ใน 34 จุด หัวหน้าชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดให้ข้อมูลว่า ระเบิดส่วนใหญ่ทำงานไปแล้ว เหลือเพียง 7 จุดที่ยังคงอยู่ระหว่างการเก็บกู้ แต่มีบางจุดที่เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้าปฏิบัติงานได้ เนื่องจากอยู่ติดแนวชายแดน และอาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับทหารทั้ง 2 ฝ่ายที่ยังคงตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่ อีกทั้งสภาพพื้นที่เป็นโคลนตม ทำให้บางจุดลูกระเบิดฝังลึกมาก ทำให้การเก็บกู้ยากลำบาก จึงทำได้เพียงล้อมรั้วแสดงสัญลักษณ์ให้ทราบ เพื่อความปลอดภัยและไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้ […]

มทภ.2 หวัง GBC ได้ข้อสรุปที่ดี ลั่นไม่ถอยกำลังทหาร

กองทัพบก 4 ส.ค. – แม่ทัพภาค 2 ลั่น ไม่ถอยกำลังทหาร หวังถก GBC ได้ข้อสรุปที่ดี แต่ยังคาดหวังอะไรไม่ได้หากสองประเทศยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกันก็จบง่าย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปชายแดนไทย-กัมพูชา (GBC) ที่ประเทศมาเลเซีย ว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าคุยเรื่องอะไรกัน แต่ก็คาดหวังว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี หาข้อตกลงร่วมกันให้ดีที่สุด ส่วนที่หลายฝ่ายมีความกังวลสถานการณ์ชายแดน หลังวันที่ 7 สิงหาคม จะมีความตึงเครียดนั้น พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของผู้นำทั้งสองประเทศ จะเจอกันตรงจุดไหน หากยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกัน ก็จบง่าย ซึ่งตอนนี้ยังคาดเดาอะไรไม่ได้ ว่าผลจะออกมาอย่างไร เมื่อถามว่า ประเด็นเรื่องการถอนกำลัง พล.ท.บุญสิน ยืนยันว่า “กองทัพไม่ถอย เพราะเรารุกในเขตพื้นที่อธิปไตยของเรา” สำหรับการดูแลชายแดนไทย-กัมพูชา กองทัพทั้งสองประเทศได้ปฏิบัติตามข้อตกลงการหยุดยิง ที่สองรัฐบาลได้พูดคุยกันไว้เพื่อความสงบสุขบริเวณชายแดน ซึ่งเราพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ยอมรับว่า มีปัญหาเรื่องโดรนไม่ทราบฝ่าย ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ได้บูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้น รวมถึงการติดตามกลุ่มบุคคลที่ทำตัวเป็นสายลับ และไส้ศึก […]

สำนักโฆษก กห. พาย้อนเหตุการณ์ยุคเขมรแดงปี 1979-1980

4 ส.ค.- เตือนความจำเขมร! สำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม โพสต์ย้อนเหตุการณ์ไทยช่วยเขมร ยุคเขมรแดง ปี 1979-1980 เปิดประตูรับคนเขมรเป็นที่พึ่งสุดท้าย-เปิดค่ายพักพิงแบบไม่ลังเล วันนี้(4 ส.ค.2568) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจสำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม ได้เผยแพร่ข้อมูลการช่วยเหลือของฝ่ายไทยที่มีต่อชาวกัมพูชาในยุคเขมรแดง โดยข้อความระบุว่า จากคนที่หนีตายสู่คนที่หันปากกระบอกปืนกลับมา” เมื่อ ‘เขมร’ ลืมทุกอย่างที่ไทยเคยมอบให้ ปี 𝟏𝟗𝟕𝟗… ชาวกัมพูชานับแสน นับล้าน วิ่งหนีตายจากนรกบนดินที่ชื่อว่า “เขมรแดง” ข้ามพรมแดนมายังไทย ในสภาพหมดเรี่ยวแรง หิวโหย และเกือบสิ้นลมหายใจ คนไทยเปิดประตูให้เขาพักพิง ตอนนั้นประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียง “เพื่อนบ้าน” แต่กลายเป็น “ที่พึ่งสุดท้าย” เราส่งอาหาร เราเปิดค่ายพักพิง เราช่วยเหลือทั้งในนามรัฐบาล องค์กรพัฒนาเอกชน และแม้แต่ชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ยอมแบ่งข้าวเพียงคำเดียวให้ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชา การอพยพที่ไม่มีแผนที่เริ่มตั้งแต่ต้นปี 𝟏𝟗𝟕𝟗 จนถึงต้นยุค 𝟏𝟗𝟖𝟎𝐬 มีชาวกัมพูชาจำนวนมหาศาล บางแหล่งบอกว่ารวมกันถึง 𝟔 แสนถึง 𝟖 แสนคน อพยพอย่างไร้ทิศทางบางคนเดินเท้าเป็นร้อยกิโลเมตรจากกลางประเทศกัมพูชา หลายคนไร้เอกสาร ไม่มีอาหาร ไม่มีเป้าหมาย […]

กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศ

ก.ต่างประเทศ 4 ส.ค.-กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา คาดแจงข้อมูลที่บิดเบือน หลังกัมพูชาปล่อยเฟคนิวส์ต่อเนื่อง ด้าน “มาริษ” ย้ำไทยไม่ได้เริ่มก่อน ยึดแก้ปัญหาผ่านกลไกทวิภาคี เรียกร้องกัมพูชายึดหลักสันติวิธี-จริงใจ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ร่วมกับ นายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และ นางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ณ ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ โดยคาดว่าจะเป็นการชี้แจงข้อเท็จจริงภายหลังจากที่ฝ่ายกัมพูชามีการให้ข้อมูลที่บิดเบือนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ก่อนการบรรยาย นายมาริษ กล่าวเปิดโดยขอบคุณผู้ที่เข้าร่วมรับฟังการบรรยายในวันนี้ พร้อมชี้แจงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และท่าทีของไทยต่อกรณีดังกล่าว โดยตนตั้งใจจะแบ่งการบรรยายเป็น 2 ประเด็นหลัก คือ 1. การเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งไทยขอประท้วงต่อฝ่ายกัมพูชากรณีที่ละเมิดกฎหมายมนุษยชนและใช้ความรุนแรง โดยมีเป้าหมายแบบไม่เลือกเป้าและโจมตีไปที่พลเรือน รวมถึงการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งขัดต่อหลักการของอนุสัญญาออตโตวา ในขณะที่ไทยปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด จึงหวังเป็นอย่างยิ่งให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างจริงใจด้วยเช่นกัน ภายใต้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ส่วนประเด็นที่ 2 คือการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ระหว่างวันที่ 4-7 สิงหาคม […]