“บิ๊กต่าย” ยันทำตามหน้าที่ ไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้ง “บิ๊กโจ๊ก”

กรุงเทพฯ 26 เม.ย. – “บิ๊กต่าย” แถลงข่าวการจับยาเสพติด ยันไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้ง “บิ๊กโจ๊ก” ย้ำทำตามหน้าที่รักษาการฯ ไม่มีเวลาเอาสมองไปคิดเรื่องปลดป้ายชื่อ ส่วนปมหลอกนายกฯ ยืนยันเป็นตำรวจตัวเล็กจะไปทำกับผู้นำประเทศได้อย่างไร ยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่กระทบบริหารตำรวจทั่วประเทศ


พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้กล่าวพาดพิงจากประเด็นที่ลงนามคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการชั่วคราว โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า วันนี้ต้องยอมรับว่ามีหลายคนที่คิดว่าตนคงจะไม่มาแถลงข่าวการจับยาเสพติด แต่ตนมองว่าผลงานการจับยาเสพติดของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 วันนี้จะต้องมายกย่องชื่นชมและกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรดำเนินการต่อเนื่องกับขบวนการนี้ ซึ่งตนคิดและทำใจไว้อยู่แล้วว่าสื่อมวลชนคงจะถามคำถามประเด็นระหว่าง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์

หากผู้สื่อข่าวถามว่าถ้าอนาคตจะมีการฟ้องร้องจนนำไปสู่การติดคุกว่า การดำเนินการทุกขั้นตอนในอำนาจหน้าที่ที่ตนเป็นรักษาการ ผบ.ตร. ตนยึดถือปฏิบัติตามกฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2565 และกฎคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) อย่างเคร่งครัดในการพิจารณาข้อเท็จจริงและความร้ายแรงแห่งคดี


พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่าการที่จะนำมาตราใดมาปฏิบัติเป็นเรื่องที่ฝ่ายอำนวยการ ฝ่ายกฎหมายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องผ่านการประมวลเรื่องเพื่อเสนอพิจารณาไปตามบทบัญญัติของกฎหมายทุกอย่าง เมื่อตนในฐานะรักษาการฯ ตัดสินใจที่จะดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ แล้วผลที่จะเกิดขึ้นมา ตนก็มีหน้าที่ที่จะต้องชี้แจง หรือแก้ต่างในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งส่วนนี้คิดว่เป็นปกติ และเช่นเดียวกับที่มองว่าเป็นเรื่องปกติที่ผู้ถูกกล่าวหา หรือผู้ที่ถูกดำเนินการทางวินัยร้ายแรงทุกกรณีไม่จำเป็นต้องเป็น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ที่ร้องเรียนต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่เกิดขึ้นใหม่ตาม พ.ร.บ.ตำรวจ และเป็นสิทธิของทุกคนที่จะฟ้องร้องต่อศาลปกครอง

ทั้งนี้ ทราบมาว่าจะมีการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ที่ทำคดีต่อศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ซึ่งถือว่าเป็นสิทธิ์โดยชอบของผู้ถูกกล่าวหาทุกคนที่จะสามารถกระทำได้และตนมีหน้าที่ในการแก้ต่าง หรือชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ขอย้ำว่าตนเตรียมพร้อมรองรับอยู่แล้วไม่ได้หนักใจด้วยซ้ำ

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวย้ำว่า ตนเองเป็นรักษาการ ผบ.ตร. แต่มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับ ผบ.ตร. ตนมีหน้าที่ที่จะทำให้ตำรวจปรับทัศนคติและค่านิยมมาสู่ความเป็นตำรวจอาชีพ ตนเองพร้อมที่จะทำทุกอย่างในเรื่องที่ควรจะพัฒนาตำรวจไปในทิศทางที่ดีเพื่อให้เป็นที่ยอมรับและศรัทธาของประชาชน หลายวันก่อนที่ตนเองได้ไปที่ค่ายพระราม 6 และค่ายนเรศวร เพื่อดูโครงการของสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจที่มีการแข่งขันของตำรวจนักวิทยาศาสตร์ ตนเองได้ไปดูว่าเขาแข่งขันเพื่ออะไร ทำอะไร ซึ่งงานของหน่วยงานที่ต้องพิสูจน์ทราบพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์จะต้องมีเพื่อสนับสนุนงานสืบสวนสอบสวน ตนได้ไปเห็นด้วยสายตาของตัวเองและกลับมาคิดว่าต้องทำอะไรต่อ เช่นเดียวกับการไปที่ค่ายพระราม 6 ได้ไปดูโครงการนักเรียนตำรวจตระเวนชายแดนที่ต้องการอยากเป็นนักกีฬาอาชีพตนขอไปดูงานแบบนั้นดีกว่า ดีกว่าไปนั่งคิดเรื่องที่มันเกิดขึ้น ณ เวลานี้


เมื่อถามถึงการลงนามให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อนซึ่งควรเป็นลำดับขั้นตอนสุดท้าย เหตุใดถึงได้ตัดสินใจทำแบบนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ยืนยันว่า ไม่มีปัจจัยอื่นมาแทรกแซง การพิจารณาเป็นไปตามหลักฐานพยาน ความร้ายแรงของคดี และเหตุที่ให้พักหรือออกราชการไว้ก่อนนั้นเป็นไปตามบัญญัติไว้ในกฎหมายทุกประการ ไม่มีการใช้ความรู้สึกส่วนตัวหรืออคติใด ๆ

ในระหว่างนั้นนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวแทรกขึ้นมาว่า ตนเชื่อว่าท่านรักษาการฯ ทำไปตามบทบาทหน้าที่ของรักษาการฯ ส่วนท่าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็มีสิทธิ์ที่จะแก้ต่างตามสิทธิ์ของตัวเอง วันนี้ท่านรักษาการฯ ก็ได้บอกกับตนส่วนตัวว่าถ้าไม่กล้าหาญจริงคงไม่กล้ามาแถลงข่าว

เมื่อถามต่อว่าประเด็นดังกล่าวถือเป็นประเด็นความขัดแย้งในเรื่องการใช้กฎหมายตำรวจอาจจะมีผลต่อการทำงานของ ผบ.ตร.ในอนาคตนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า การพิจารณาของตนเป็นไปตามกฎหมายของตำรวจ พิจารณาตามข้อเท็จจริง จากนี้ขอให้ไปเป็นตามกระบวนการพิสูจน์กระบวนการยุติธรรม

“ตนขอให้สื่อมวลชนได้ถ่ายทอดคำพูดตนสู่ตำรวจทั้งประเทศขอให้ตำรวจทั้งประเทศหันหน้าทำงาน สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้อย่าได้คิดว่าเป็นอุปสรรคต่อการบริหารงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนตัวไม่เคยคิด และยังเดินหน้าทำงานอยู่ แต่ละวันคิดแค่ว่าจะทำอะไรเพื่อตำรวจและประชาชน อยากให้ตำรวจทุกคนทำงานในหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ต้องคิดอะไรไปมากกว่ามีหน้าที่และทำไปเพื่อประชาชนอย่างจริงจัง ความเชื่อมั่นและศรัทธาจะกลับมา” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า การลงนามคำสั่งของรักษาการฯ มีการบิดเบือนให้นายกรัฐมนตรีลงนามในการโยกย้ายให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กลับมาประจำที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก่อนจะถูกสั่งออกจากราชการชั่วคราวนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่า ท่านเป็นถึงนายกรัฐมนตรี ท่านเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของชาติ ผมคือตำรวจคนหนึ่งจะเอาอะไรไปหลอกลวงระดับผู้บริหารประเทศ ด้วยสติปัญญา ด้วยความคิดต่าง ๆ ตนจะไปหลอกอะไรท่าน ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีนะ

ส่วนประเด็นว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เป็นคู่ขัดแย้งกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หรือไม่ ยืนยันตนไม่เคยเป็นคู่ขัดแย้งกับใคร แต่ใครจะมองยังไงก็ว่ากัน แต่ตนไม่คิดที่จะขัดแย้งและตนให้เกียรติกับทุกคนเหมือนเดิม

กรณีการปลดป้ายชื่อออกจากหน้าห้องทำงานที่สำนักงานตำรวจฯ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ตนมีอะไรต้องทำมากกว่าไปปลดป้ายชื่อคนอื่น ถ้าจะปลดทำไมไม่ปลดท่าน ผบ.ตร. หรือ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ ด้วย ย้ำว่ามีเรื่องอื่นมากกว่าต้องทำ ใครจะปลดก็เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กันไป

“ผมไม่เอาสมองกับเวลามาทำเรื่องอย่างนี้หรอก คำพูดที่เคยให้ไว้ที่หน้าห้องประชุมศรียานนท์ ว่า ให้เกียรติทั้ง 2 ท่าน สัจจะวาจาเป็นเช่นไร คำว่าให้เกียรติก็ยังมี ในวงการตำรวจต้องให้เกียรติเสมอ” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าว

กรณีที่ถูกกล่าวหาว่ากระเหี้ยนกระหือรือจะเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินั้น การเป็นผู้นำองค์กรไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าอยากเป็นหรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ ก.ตร.การใช้อำนาจและการพิจารณาตามกฏหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งความคิดเห็นประการใดก็ถือเป็นมุมมองของผู้ถูกกล่าวหา แม้จะถูกกล่าวหาในเรื่องร้ายแรงก็เป็นสิทธิ์ที่คิดได้อยู่แล้ว ตนไม่จำกัดความคิดของใคร ส่วนกรณีนี้เป็นการพิจารณาข้อกฎหมายที่มีความผิดพลาดหรือไม่นั้นก็เป็นสิทธิ์ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ คิดได้เช่นกัน ต้องเข้าสู่กระบวนการของหน่วยงานที่จะต้องพิจารณาเรื่องนี้ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นศาลปกครอง หรือศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่มีการระบุว่าจะไปยื่นฟ้องเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่คนระดับตนเองหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะพลั้งเผลอในข้อกฎหมาย ไม่อย่างนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะต้องถูกฟ้องกลับหรือไม่ที่ให้ข้อมูลเท็จ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ตอบกลับว่า พี่ยังคิดได้เลยว่าคนระดับท่านจะพลั้งเผลอหรือ ก็เป็นมุมมองของแต่ละคน และยืนยันว่าไม่กังวลว่าจะกระทบกับหน้าที่การงาน อะไรที่จะต้องเกิดขึ้น จากดุลยพินิจขององค์กรต่าง ๆ ก็ต้องยอมรับ แต่กรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ฝากถึงตนเองในเรื่องจะมีศักดิ์ศรีหรือลาออกนั้น ยืนยันตนคิดเรื่องตั้งใจทำงานอย่างเดียว อยากจะบอกความคิดของตนเองว่าเรื่องศักดิ์ศรี เรื่องติดคุกติดตะราง เรามาเป็นตำรวจเราต้องเตรียมรับสถานการณ์นี้ในเรื่องหน้าที่การงานอยู่แล้ว ทุกวันทุกเวลาตัวเองคิดแต่เรื่องจะบำรุงดูแลขวัญตำรวจอย่างไร ไม่คิดถึงเรื่องติดคุกเลย การที่ผมออกคำสั่งตั้งกรรมการวินัยร้ายแรงออกจากราชการไว้ก่อนนั้นเป็นเรื่องของการพิจารณาจากข้อเท็จจริงพยานหลักฐานและใช้กฎหมายบทบัญญัติที่ถูกต้อง ส่วนจะมีข้อคิดเห็นอย่างไรก็เป็นมุมมองของแต่ละคน

ส่วนช่วงเวลาในการส่งตัวระหว่างสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะถือว่ามีผลในข้อกฎหมายที่ทำให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ฟ้องร้องในครั้งนี้ได้หรือไม่นั้น ขณะนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เองได้มีคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงานนายกรัฐมนตรีทั้งคู่ การที่ตนเองต้องรายงานไปยังนายกรัฐมนตรีก็ถือเป็นเรื่องปกติที่รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะต้องรายงานเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ออกคำสั่งให้ทั้ง 2 คน ไปปฏิบัติหน้าที่ หากเราไม่รายงานก็จะไม่ถูกต้อง กรณีสำนักนายกรัฐมนตรีได้ส่งตัวกลับก็เป็นเรื่องของสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งปลัดที่เป็นผู้บังคับบัญชาเป็นผู้ที่มอบหมายหน้าที่การส่งกลับมาก็ถือเป็นเรื่องปกติเช่นกัน

ตอนนี้ที่ถูกมองว่ากระบวนการในการร่างหนังสือที่ออกจากราชการไว้ก่อน รวมถึงสำนักรัฐมนตรีให้ส่งตัวเพื่อให้ออกจากราชการนั้น ย้ำว่าต้องเคารพในการโต้แย้งและความคิดของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ต้องนำมาเป็นประเด็นอะไร ปลัดสำนักนายกฯ และตนเองในฐานะรักษาราชการแทนก็ได้ใช้การพิจารณาไปตามพยานหลักฐานและข้อกฎหมาย

ส่วนสาเหตุในการให้ออกที่ระบุว่าเนื่องจากถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน และต้องใช้ระยะเวลาในการสอบสวนข้อเท็จจริงนาน หรือเกรงยุ่งพยานหลักฐานจะถือว่าเพียงพอในการให้ออกจากราชการก่อนหรือไม่ หากไม่ได้กระทำเช่นนั้นจริง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ก็อยู่ในเนื้อหาของข้อเท็จจริง ตนเองพูดอะไรออกไปก็เป็นการก้าวล่วงคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาทางวินัย จึงเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการสอบสวนการวิจัยพฤติกรรมต่างๆ เป็นไปตามบัญญัติของกฎหมาย ตนคงไม่บรรยายกฎหมายให้ฟัง ขนาดตัวเองเป็นผู้รักษากฎหมาย จะทำอะไรก็ต้องศึกษา

ส่วนเรื่องการตรวจสอบขบวนการ 4 ต.ก็ต้องอยู่ข้อเท็จจริงว่ามีความเกี่ยวพันหรือยุ่งเหยิงอย่างไรและมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไร ซึ่งมีขั้นตอนต่างๆ กำหนดไว้อยู่แล้ว บอกตรง ๆ ว่าไม่เคยคิด ตนอยากใช้ชีวิตเหมือนตำรวจทั่วไป เราเป็นตำรวจที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และเคารพความคิดของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันทำงานได้กับทุกคน ไม่มีอคติ และไม่คิดทางลบกับใครทั้งนั้น พร้อมจะทำงานกับทุกคน เป็นกระบวนการในการพิสูจน์ทราบว่ามีการกระทำผิดวินัยร้ายแรงเกิดขึ้นหรือไม่อย่างไร ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย จะไม่ติดใจกรณีนี้ที่ถูกกล่าวหาใด ๆ ทั้งนั้นไม่ได้คิดอะไรทุกอย่างในการดำเนินการตามความคิดและขั้นตอน.-414- สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” นำค้นวัดไร่ขิง 3 จุด เผยอดีตเจ้าคุณแย้มสารภาพไม่หมด

นครปฐม 16 พ.ค.-“บิ๊กเต่า” นำกำลังตำรวจกองปราบบุกค้นวัดไร่ขิง 3 จุด หาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เอี่ยวคดียักยอกเงินวัด 300 ล้าน พร้อมนำหมายค้นบ้านประชาชน 1 จุด ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่วัด เผยอดีตเจ้าคุณแย้มสารภาพไม่หมด เวลา 07.00 น. พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ ป.ป.ช. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. ตรวจค้นภายในวัดไร่ขิงพระอารามหลวง มีทั้งหมด 3 จุด และบริเวณโดยรอบอีก 1 จุด ซึ่งจุดแรกในวัดไร่ขิงคือกุฏิของพระธรรมวชิรานุวัตร หรือเจ้าคุณแย้ม อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงและเจ้าคณะภาค 14 โดยมีผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงเป็นผู้ที่นำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นภายในกุฎิ พร้อมสังเกตการณ์ ทันทีที่เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการถึงบริเวณหน้ากุฎิเจ้าอาวาส ได้ให้ตำรวจอ่านหมายค้น เพื่อเข้าตรวจสอบและยึดสิ่งของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการกระทำความผิด ทั้งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือและเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปใช้ประกอบหลักฐานการสอบสวนไต่สวนมูลฟ้องในการพิจารณาความผิด ขณะที่พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังจากการอ่านหมายค้น ว่า วันนี้เป็นการตรวจค้นเกี่ยวกับเส้นเงินที่ไหลไปตามบัญชีต่างๆ มีใครเกี่ยวข้องบ้าง ต้องมีการเรียกสอบรายบุคคลพร้อมกับการตรวจค้น โดยหลักๆ ส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับเส้นเงินที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ โดยมุ่งเน้นไปยังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ […]

2 ผู้ต้องหามอบตัว คดีเผานั่งยาง 3 ศพ ในสวนปาล์ม

ตรัง 16 พ.ค. – หัวหน้าแก๊ง พร้อมลูกน้องอีก 1 คน ก่อเหตุเผานั่งยาง 3 ศพในสวนปาล์มน้ำมัน จ.ตรัง ติดต่อขอมอบตัว หวั่นถูกวิสามัญ หลังเจ้าหน้าที่ระดมกำลังไล่ล่า เช้านี้ ตำรวจ สภ.โคกนา เจ้าของพื้นที่คดีเผานั่งยาง 3 ศพ ในสวนปาล์มน้ำมัน อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ได้รับการประสานจากอดีตสมาชิกสภาจังหวัด ในพื้นที่อำเภอสิเกาว่า จะนำตัว 2 ผู้ต้องหาเข้ามอบตัว คือ นายศุภกรณ์ หรือบิน อายุ 37 ปี ชาวตำบลกะลาเส อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊ง และนายจรณชัย หรือแต้ม อายุ 32 ปี ชาวหมู่ 7 ตำบลน้ำผุด อำเภอเมือง จังหวัดตรัง เนื่องจากผู้ต้องหาทั้งสองคน กังวลเรื่องความปลอดภัย หากหลบหนีต่อไป เกรงถูกวิสามัญฆาตกรรม หลังเจ้าหน้าที่และชาวบ้าน ระดมปิดล้อมบ้านเขาหลัก […]

ลงนามถอดถอน “เจ้าคุณแย้ม” จากทุกตำแหน่ง

15 พ.ค.- เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ลงนามถอดถอน “เจ้าคุณแย้ม” จากหน้าที่ทุกตำแหน่ง เหตุถูกดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวข้องกับคดีอาญา สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ลงนามในหนังสือ คำสั่งถอดถอนพระสังมาธิการ พระธรรมวชิรานุวัตร พักจากตำแหน่งหน้าที่ทุกตำแหน่ง ทั้งเจ้าคณะภาค 14 และ เจ้าอาวาสวัดไร่ชิงพระอารามหลวง หลังจากทราบเรื่องว่าถูกดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวข้องกับคดีอาญา จึงได้อาศัยอำนาจตามความในข้อ 56 แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 (พ.ศ. 2553) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังมาธิการ ออกตามความในพระราชบัญญัติคุณะสูงณ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเดิมโดยพระราชบัญญัติคณะสงน์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ให้เหตุผลว่า ถ้าจะให้คงอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ในระหว่างการสอบสวนจะเป็นการเสียหายแก่การคณะสงฆ์ .-สำนักข่าวไทย

เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงยอมสึก คำให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี

15 พ.ค.- เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงยอมลาสิกขาด้วยตัวเอง หลังถูกเค้นสอบนานกว่า 8 ชม. เบื้องต้นยอมให้การแล้ว คำให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ช่วงหนึ่งของการสอบปากคำ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้อุ้มพระพุทธรูป ปางสมาธิองค์สีดำ ถือเข้าไปไปยังห้องสอบสวนที่สอบปากคำพระธรรมวชิรานุวัตร (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม เจ้าคณะภาค 14 สังเกตพบว่ามีการนำพระพุทธรูปวางไว้บนโต๊ะบริเวณด้านหน้าของ พระธรรมวชิรานุวัตร โดยมีรายงานจากเจ้าหน้าที่ว่า พระธรรมวชิรานุวัตร ยอมทำพิธีลาสิกขาบทด้วยตัวเอง แต่ยังไม่เริ่มพิธีเนื่องจากรอชุดเสื้อผ้าเปลี่ยนหลังทำพิธีลาสิกขาบทแล้วเสร็จ ส่วนการสอบปากคำ เบื้องต้นทางพระธรรมวชิรานุวัตร ยอมให้การกับพนักงานสอบสวนแล้ว และให้การไปในทิศทางที่ดี ซึ่งปรากฏว่าทางพระธรรมวชิรานุวัตร ได้โอนเงินไปให้กับผู้ต้องหาที่ 2 เป็นจำนวนเงินหลักร้อยล้านบาท ในช่วงปี 2564 ซึ่งข้อมูลนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการสอบปากคำหาข้อเท็จจริง ว่ามีการทำธุรกรรมด้วยสาเหตุใด แต่พบบางส่วนเข้าไปพัวพันกับเว็บการพนัน .-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ผนังโรงงานถล่มทับรถยนต์เสียหาย 7 คัน-เจ็บเล็กน้อย 1 คน

ชลบุรี 16 พ.ค. – ผนังอาคารโรงงานแห่งหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ อ.พานทอง จ.ชลบุรี ถล่มทับรถยนต์ที่จอดอยู่ด้านข้างเสียหายรวม 7 คัน และพนักงานบาดเจ็บเล็กน้อย 1 คน ผนังอาคารพังถล่มที่บริษัทแห่งหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ อ.พานทอง จ.ชลบุรี โดยส่วนที่พังเป็นฝาผนังที่ต่อเติมยื่นออกมาของอาคารชั้น 2 ถล่มลงมาทับรถยนต์ที่จอดอยู่ด้านข้าง เสียหายรวม 7 คัน เบื้องต้นมีพนักงานบริษัทเป็นหญิงได้รับบาดเจ็บ 1 คน บริษัทนำส่งโรงพยาบาล สอบถามพนักงานบริษัทเล่าว่า ได้ยินเสียงตึ้มเลยพากันวิ่งออกมา ตอนแรกนึกว่าเสียงฟ้า โดยตรงนั้นเป็นอาคารฝ่ายบุคคล จะไม่มีคนไปนอน ด้านผู้กำกับการ สภ.พานทอง เปิดเผยว่า เหตุการณ์นี้มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย วิศวกรบริษัทเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้ว และบริษัททำประกันภัยไว้ คงไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งต้องประเมินความเสียหายทั้งอาคารและรถยนต์ที่เสียหาย เพื่อชดใช้ตามกฎหมายต่อไป.-สำนักข่าวไทย

2 ผู้ต้องหามอบตัว คดีเผานั่งยาง 3 ศพ ในสวนปาล์ม

ตรัง 16 พ.ค. – หัวหน้าแก๊ง พร้อมลูกน้องอีก 1 คน ก่อเหตุเผานั่งยาง 3 ศพในสวนปาล์มน้ำมัน จ.ตรัง ติดต่อขอมอบตัว หวั่นถูกวิสามัญ หลังเจ้าหน้าที่ระดมกำลังไล่ล่า เช้านี้ ตำรวจ สภ.โคกนา เจ้าของพื้นที่คดีเผานั่งยาง 3 ศพ ในสวนปาล์มน้ำมัน อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ได้รับการประสานจากอดีตสมาชิกสภาจังหวัด ในพื้นที่อำเภอสิเกาว่า จะนำตัว 2 ผู้ต้องหาเข้ามอบตัว คือ นายศุภกรณ์ หรือบิน อายุ 37 ปี ชาวตำบลกะลาเส อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊ง และนายจรณชัย หรือแต้ม อายุ 32 ปี ชาวหมู่ 7 ตำบลน้ำผุด อำเภอเมือง จังหวัดตรัง เนื่องจากผู้ต้องหาทั้งสองคน กังวลเรื่องความปลอดภัย หากหลบหนีต่อไป เกรงถูกวิสามัญฆาตกรรม หลังเจ้าหน้าที่และชาวบ้าน ระดมปิดล้อมบ้านเขาหลัก […]

นายกฯ ร่วมพิธีวางพวงมาลาอนุสาวรีย์วีรชนและผู้เสียสละบั๊กเซิน

เวียดนาม 16 พ.ค.-นายกฯ ร่วมพิธีวางพวงมาลาอนุสาวรีย์วีรชนและผู้เสียสละบั๊กเซิน รวมทั้งสุสานโฮจิมินห์ เน้นย้ำไทยให้ความสำคัญประวัติศาสตร์และมิตรภาพกับเวียดนาม นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมพิธีวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์วีรชนและผู้เสียสละบั๊กเซิน ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานสำคัญที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของนักปฏิวัติผู้เสียสละชีวิต เมื่อปี ค.ศ. 1940 ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของขบวนการต่อสู้ของเวียดนามภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ โดยตั้งอยู่บนถนนบั๊กเซิน (Bạch Sơn Street) ในพื้นที่ใกล้กับจัตุรัสบาดิ่งห์ โดยออกแบบในสไตล์ศิลปะสังคมนิยม ที่ประกอบด้วยกลุ่มรูปปั้นนักรบปฏิวัติ แสดงถึงความกล้าหาญและความสามัคคีของนักต่อสู้เพื่อเอกราชของเวียดนาม หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทางต่อไปยังสุสานโฮจิมินห์ ตั้งอยู่ที่จัตุรัสบาดิ่งห์ สถานที่ซึ่งอดีตผู้นำโฮจิมินห์เคยอ่านคำประกาศเอกราชของเวียดนามในปี ค.ศ.1945 ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมทรงอนุสรณ์สถาน โดยใช้หินอ่อนและหินแกรนิตคุณภาพสูง ผสมผสานระหว่างศิลปะสังคมนิยม กับเอกลักษณ์เวียดนาม โดยโฮจิมินห์เป็นบุคคลสำคัญของเวียดนาม ผู้ได้รับการยกย่องในฐานะ “บิดาแห่งชาติ” ที่นำพาประเทศสู่การประกาศเอกราช และเป็นผู้ประกาศก่อตั้งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ทั้งนี้ การเข้าร่วมพิธีวางพวงมาลา ณ สถานที่สำคัญของเวียดนามครั้งนี้ แสดงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและเวียดนาม ตลอดจนการให้ความสำคัญต่อประวัติศาสตร์และการเมืองของประเทศพันธมิตรที่สำคัญของไทยอย่างเวียดนาม จากนั้น เวลา 10.00 น. นายกรัฐมนตรีและคณะจะเข้าร่วมประชุมหารือทวิภาคีกลุ่มเล็ก กับนายกรัฐมนตรี สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ณ ทำเนียบรัฐบาล.-314.-สำนักข่าวไทย

“เปรมชัย” นั่งวีลแชร์ เข้ามอบตัว กรณีตึกกำลังสร้าง สตง. ถล่ม

กทม. 16 พ.ค.-“เปรมชัย” ผู้บริหารบริษัทอิตาเลียนไทย นั่งวีลแชร์ เข้ามอบตัวพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ กรณีตึกกำลังสร้าง สตง. ถล่ม ด้านวิศวกร ผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง ทยอยเข้ามอบตัวเช่นกัน เวลา 08.00 น. นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประมูลโครงการก่อสร้างหลัก อาคาร สตง.แห่งใหม่ ซึ่งพังถล่มเมื่อวันที่ 28 มีนาคม จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว และตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ฐาน “เป็นผู้มีวิชาชีพในการออกแบบ ควบคุม หรือทำการก่อสร้าง ซ่อมแซมหรือรื้อถอนอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ หรือวิธีการอันพึงกระทำการนั้นๆ โดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่น เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย” อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 227 , 238 นายเปรมชัย นั่งวีลแชร์ มีพยาบาลส่วนตัวประกบ เดินทางมาที่ สน.บางซื่อ พร้อมทนายความและญาติ เพื่อเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้บริหารบริษัทกิจการร่วมค้า รวมถึงกลุ่มวิศวกร อีก 13 […]